“บิ๊กอ๊อด” เบี้ยวแจงคดีบอส “สิระ” นัดอีกสัปดาห์หน้า กมธ.ซักนานกว่า 5ชม. “รองผบ.ตร.” ยันไม่มีใครแทรกแซงคดี

บิ๊กอ๊อด”อ้างติดภารกิจไม่เข้าแจงคดีบอส กมธ.ซักนานกว่า 5 ชม. รองผบ.ตร.ยันไม่มีใครก้าวก่ายแทรกแซงคดี เดือด “โรม” พาดพิงว่าช่วยเป่าคดี ซัก”ธานี”เอกสารสำคัญกมธ.หายไป8หน้า “สิระ” นัด”บิ๊กอ๊อดอีกรอบสัปดาห์หน้า

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 19 สิงหาคม ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกมธ. ประชุมร่วมกับ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา โดยกมธ.เชิญ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผบ.ตร. ในฐานะ อดีต ผบ.พิสูจน์หลักฐานตำรวจ พ.ต.อ.วิรดล ทัมทิบดี ในฐานะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และนายธานี อ่อนละเอียด อดีต สนช. ในฐานะ หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในยุค สนช. เข้าชี้แจง แต่ พล.ต.อ.สมยศ ได้ส่งหนังสือชี้แจงว่าไม่สามารถมาได้เนื่องจากติดภารกิจ และเห็นว่ากมธ. สามารถเรียก ดูข้อมูลจาก กมธ.กฎหมาย ยุค สนช. ที่เคยพิจารณาเรื่องนี้ไว้ได้ ที่ประชุมจึงขอให้เชิญ พล.ต.อ.สมยศ มาอีกครั้ง

จากนั้น ที่ประชุมได้มาการซักถาม พล.ต.อ.มนู ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีนี้ในฐานะ ผู้บัญชาการพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ที่ถูกอ้างว่า อยู่ในเหตุการณ์ ที่พล.ต.อ.สมยศ อดีต ผบ.ตร.นำ นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เข้ามาร่วมคำนวณ คดีนี้ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ตามเอกสารของ พล.ต.อ.ธนสิทธิ ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน โดย พล.ต.อ.มนู ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่ถูกพาดพิง ยอมรับว่า ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เป็นคนเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดีนี้ มาหารือกัน หลังจากที่ ผบ.พิสูจน์หลักฐานกลางแจ้งว่า พนักงานสอบสวนได้ขอสอบปากคำเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานในคดีนี้ เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย เกี่ยวกับเรื่องการตรวจวัดความเร็วรถได้ 177 กม.ต่อ ชม.ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ในวันดังกล่าวมี พล.ต.อ.ธนสิทธิ นายสายประสิทธิ์ และ พ.ต.อ.วิรดล ที่ให้มาเข้าพบ และให้ทั้ง 3 ฝ่ายคุยกันอย่างอิสระ จนมาทราบว่า มีการได้ข้อสรุปความเร็วที่ 79 กม.ต่อ ชม. ตามการคำนวณของ นายสายประสิทธิ์ ส่วนตัวเข้าใจว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าการคำนวนของนายสายประสิทธิ์ถูกต้อง จึงเปลี่ยนคำให้การจาก 177 กม.ต่อ ชม. เป็น 79 กม.ต่อ ชม.ทั้งนี้ เมื่อกมธ.พยายามซักถามว่า เหตุใดจึงมีชื่อของ พล.ต.อ.สมยศ มาเกี่ยวข้อง พล.ต.อ.มนู จึงตอบว่า พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้มาด้วย และ ย้ำว่า ไม่มีใครก้าวก่ายแทรกแซงในคดีนี้

ขณะที่ พ.ต.อ.วิรดล ยืนยันว่า ไม่รู้จักนายสายประสิทธิ์ มาก่อน และในวันดังกล่าวเดินทางไป สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เพียงคนเดียวไม่ได้ไป กับ พล.ต.อ.สมยศ และเป็นเหตุบังเอิญ ที่เดินทางไปสอบปากคำ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ในวันเดียวกับที่มีการเรียก นายสายประสิทธิ์ มาพบ และยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปในห้อง อยู่ร่วมในการพูดคุยกัน เพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของนายสายประสิทธิ์ กับกองพิสูจน์หลักฐานกลางเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพนักงานสอบสวน ทำให้ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกกมธ. ตั้งคำถามว่า ตกลงใครเป็นผู้นำนายสายประสิทธิ์เข้ามาคำนวนความเร็วในคดีนี้ เพราะแต่ละคนชี้แจงว่า ไม่รู้จัก นายสายประสิทธิ์สักคน แต่ในข้อมูลของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ยืนยันว่าเป็น พล.ต.อ.สมยศ โดย พล.ต.อ.มนู ยืนยันไม่ทราบว่าใครเป็นคนพามา แต่เข้าใจว่า พนักงานสอบสวนในคดีนี้นำนายสายประสิทธิ์เข้ามาเอง นายรังสิมันต์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า อยู่ดีๆนายสายประสิทธิ์จะเดินเข้ามาเองไม่ได้ ตั้งคำถามว่า พล.ต.อ.มนู มีส่วนช่วยเป่าคดีหรือไม่ ทำให้ พล.ต.อ.มนู พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า มากล่าวหาว่าคนเป่าคดี หมายความว่าอย่างไร นายรังสิมันต์ ตอบว่า เป็นเพียงการตั้งคำถามเท่านั้น

พล.ต.อ.มนู กล่าวว่า ประเด็นของคดีนี้ ไม่ได้อยู่ที่ใครนำนายสายประสิทธิ์เข้ามา เพราะไม่มีใครสามารถก้าวก่ายแทรกแซงได้อยู่แล้ว แต่ประเด็นอยู่ที่การคำนวนความเร็วมากกว่า ไม่ว่าใครจะพานายประสิทธิ์มาไม่มีผลอะไร และหาก พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ถูกกดดันจริง ในวันนั้นสามารถมาบอกตนให้แก้ปัญหาได้ และจะทำให้ไม่เกิดปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นกมธ.ได้ซักถาม พ.ต.อ.วิรดล ถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ พยายามขอเปลี่ยนแปลงคำให้การเพื่อยืนยันความเร็วที่ 177 กม.ต่อ ชม.เหมือนเดิม เพราะเห็นว่า การคำนวณของนายสายประสิทธิ์ผิดพลาด พ.ต.อ.วิรดล ยืนยันว่า เนื่องจากได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการไปแล้ว และขณะนั้น ไม่ได้เป็นผู้กำกับ สอบสวนสน.ทองหล่อแล้ว ประกอบกับ มีอีกคดีหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบ ทำให้ไม่ได้สนใจ ส่วนปัญหาพบข้อมูลเท็จในสำนวนอ้างว่าสอบปากคำ พ.ต.อ.ธนสิทธิ 2ครั้งทั้งที่ในข้อเท็จจริง สอบเพียงครั้งเดียวนั้น ยอมรับว่า เป็นความผิดพลาด เพราะตอนแรกตั้งใจว่า จะสอบเรื่องความเร็ว 2 ครั้ง คือวันที่ 26 กุมภาพันธื 2559 และวันที่ 2 มีนาคม จึงทำเอกสารลงวันที่ไว้ล่วงหน้า แต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แจ้งว่า ได้สรุปผลการคำนวณเสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับ พนักงานอัยการเร่งรัดให้ส่งสำนวน จึงได้สรุปสำนวน โดยไม่ได้สอบปากคำ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ อีกครั้งในวันที่ 2 มีนาคม ตามที่ตั้งไว้ แต่ยืนยันว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ได้ยืนยันความเร็วที่ 79 กม.ต่อ ชม.มาตลอด จนเพิ่งจะมาขอเปลี่ยนในวันที่ 20 มีนาคม ขณะนั้นได้ส่งสำนวนไปเรียบร้อยแล้ว

Advertisement

ด้าน พ.ต.อ.ธนสิทธิ กล่าวว่า เหตุการณ์เรียกคุยกับที่ห้องทำงานของ พล.ต.อ.มนู  เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 59 พ.ต.อ.วิรดล มาหาช่วงบ่าย และ แจ้งว่า พล.ต.อ.สมยศ มาด้วย  เมื่อทราบว่าจะมาด้วยตนจึงไปพบ ในห้องขณะนั้น มี พล.ต.อ.สมยศ พ.ต.อ.วิรดล และนายสายประสิทธิ์ โดย พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแนะนำให้รู้จัก นายสายประสิทธิ์ และมีการนำเสนอวิธีการคิดคำนวณใหม่ ได้ 79.22 กม./ชม. จากนั้น พล.ต.อ.สมยศ กลับไปพร้อมกับ นายสายประสิทธิ์ และมี พ.ต.อ.วิรดล ทำหน้าที่สอบปากคำต่อ ตามเอกสารพนักงานอัยการขอให้มีการสอบปากคำเพิ่มเติมตั้งแต่ 12 กุมภาพันธ์แต่ เพิ่งมาขอสอบปากคำจริงในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เลยเวลามาแล้ว 14วัน ส่วนที่มีการระบุสอบปากคำ2 ครั้งนั้น เป็นเพราะ พ.ต.อ.วิรดล พนักงานสอบสวน ในคดีนี้ เป็นคนขอว่าไม่มีเวลาที่จะมาสอบปากคำซ้ำเพราะอัยการเร่งรัดมา จึงขอสอบปากครั้งในรอบเดียว โดยประเด็นที่มีการสอบปากคำเพิ่มนั้น พ.ต.อ.วิรดล มีการถามว่า ท่านมีวิธีการคำนวณความเร็วแบบอื่นหรือไม่ เป็นการถามหลังจากที่ นายสายประสิทธิ์ เสนอวิธีการคำนวณใหม่มาแล้ว ประกอบกับตนอยู่สถานการณ์ที่อยู่ในห้องของผู้บังคับบัญชา คือ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก จึงเกิดความเครียดเพราะมีเวลาจำกัด ไม่สามารถขยายเวลาการให้ปากคำได้ และ พ.ต.อ. วิรดล เป็นคนขอลงวันที่ 2 มีนาคมในเอกสารเอง แต่ตนไม่คิดว่าจะเป็นสาระสำคัญเพราะขณะนั้นกำลังให้ความสำคัญกับวิธีการคำนวณความเร็ว

จากนั้นที่ประชุมได้สอบถามนายธานี อ่อนละเอียด สว. ในฐานะอดีตกรรมาธิการกฎหมายฯ สมัยสนช. ตั้งประเด็นข้อสงสัย เหตุใดกรรมาธิการสนช.ไม่มุ่งหมายหาข้อเท็จจริงตามที่ฝ่ายนายวรยุทธ ร้องมาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอัยการ แต่กลับไปสอบสวนหาความเร็วของรถยนต์ตกลงว่าขับมาด้วยความเร็ว177 กม/ชม.หรือ 79กม./ชม. ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในข้อร้องเรียน ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางคดี รวมทั้งทำไมไม่ให้พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เข้าชี้แจงถึงเรื่องความเร็วรถยนต์

นายธานี ชี้แจงว่า กมธ.ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นศาล อัยการ กกต. ป.ป.ช. ไม่สามารถไปวินิจฉัยชี้ขาดได้ เราเพียงแค่รวบรวมรายละเอียดเท่านั้น ส่วนพนักงานจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เราไม่สามารถไปชี้นำ เพราะเราไม่ได้มีบทบาท เราไม่ได้ทำเกินหน้าที่ ส่วนการมาชี้แจงของพ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ไม่ทราบว่าตอนนั้นได้เชิญใครมาบ้าง นายรังสิมันต์ โรม จึงได้ถามมาว่า เหตุใดบันทึกชวเลข ในช่วงการประชุมลับของ กมธ.สนช. ก่อนที่จะส่งรายงานไปยังอัยการพอดี โดยนายธานี ชี้แจงว่า ไม่มีการประชุมลับ เป็นการประชุมอย่างเปิดเผย แต่บางครั้งช่วงที่กรรมาธิการบางคนแสดงความเห็นส่วนตัว อาจขอไม่ให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ เจ้าหน้าที่ชวเลข เลยไม่ได้บันทึกไว้ นายโรม ยืนกรานว่า มีการประชุมลับจริง แต่นายธานียืนกรานไม่มีการประชุมลับ จากนั้นจึงได้มีการเรียกเอกสารบันทึกชวเลขขณะนั้นมาชี้แจง และนายรังสิมันต์ได้อ่านเอกสารโดยสรุปก่อนข้อความจะหายไปตอนหนึ่งว่า เป็นการประชุมช่วงเรื่องความเร็วรถพอดี เมื่อวันที่16ธันวาคม 2559 ตามบันทึกกำลังคุยกันถึงความเร็วรถเฟอร์รารี่ จะไม่เกิน70กม./ชม. ข้อเท็จจริงตรงนี้เราอยากรู้ว่าได้ข้อสรุปว่าอย่างไร ส่วนสำคัญหายไป 8 หน้า แล้วมามีข้อความหลังจากที่หายไป เป็นในเรื่องความเร็วอีก

Advertisement

นายสิระ ตั้งข้อสังเกตุว่า ถ้าเป็นการประชุมลับ จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ในห้องประชุมหรือไม่ ถ้าเป็นการประชุมฝั่งของส.ส. จะไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย แต่ถ้าเป็นช่วง of record จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ เพียงแต่ไม่ต้องบันทึกไว้ ดังนั้นการประชุมครั้งนั้น ไม่น่าจะเป็นประชุมลับ เพราะถ้าประชุมลับไม่ควรจะมีเนื้อความบันทึกไว้เลย นายธานี จึงชี้แจงว่า ปกติถ้าประชุมว่ากันไปตามปกติ ถ้าบอกว่าตอนนี้อย่าบันทึก เพราะเป็นความเห็นส่วนตัวไม่มีการบันทึก แต่มีการประชุมลับหรือไม่นั้นไม่แน่ใจ นายโรมจึงขอสรุปว่า คนพูดสุดท้ายในช่วงนี้คือผู้ชี้แจง ส่วนจะมีการประชุมลับหรือไม่ คิดว่ากมธ.คงรู้อยู่แก่ใจว่าได้พูดอะไรไว้บ้าง ถ้าลับจริงคงไม่มีเอกสารหายไป8หน้า

ทั้งนี้ การพิจารณายาวนานกว่า 5 ชั่วโมง ก่อนที่นายสิระ ได้แจ้งต่อที่ประชุมอีกว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง มาชี้แจงต่อกมธ.อีก เพราะอยากรู้ว่ามีหน้าที่อะไรถึงได้พานายสายประสิทธิ์ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image