สธ.เผย ผู้ป่วยโควิดกลุ่มพยาบาล คุมได้ หารือ คลายมาตรการกักตัวผู้ได้รับวัคซีนโควิด

สธ.เผย ผู้ป่วยโควิดกลุ่มพยาบาล คุมได้ หารือ คลายมาตรการกักตัวผู้ได้รับวัคซีนโควิดแล้ว

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในประเทศไทย

นพ.โสภณ กล่าวว่า ในวันนี้พบการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยยืนยันที่เคยรายงานไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการสอบสวนโรคของทีมสอบสวนควบคุมโรค สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร(กทม.) สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม.) และกองระบาดวิทยา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยรายที่ 7 อยู่ในกลุ่มเดียวกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรคทางเลือก(Alternatives State Quarantine) ใน กทม. โดยผู้ป่วยรายที่ 7 เป็นเพื่อนร่วมงานกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 4 ที่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการคนแรกและพักห้องร่วมกับผู้ป่วยรายที่ 6 แต่ทั้งหมดเกิดจากกลุ่มก้อนเดียวกัน เนื่องจากมีกิจกรรมนอกเวลางาน พักอยู่ที่เดียวกันรวมถึงการรับประทานอาหารร่วมกัน

นพ.โสภณ กล่าวว่า การตรวจหาเชื้อผู้ป่วยรายที่ 7 ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ผลไม่พบเชื้อ แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจึงต้องกักกันตัวให้ครบ 14 วัน และผู้ป่วยรายนี้สามารถติดตามประวัติการสัมผัสได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม ผู้ป่วยทำงานอยู่ร่วมกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 4 เมื่อวันที่ 5-7 ธันวาคม อยู่คอนโดมิเนียมร่วมกับผู้ป่วยรายที่ 6 รับประทานอาหารร่วมกันและพักร่วมกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ทำการเก็บเชื้อส่งตรวจครั้งที่ 1 ผลไม่พบเชื้อ และในระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม อยู่ในระหว่างการกักกันของโรงพยาบาล(รพ.) โดยไม่มีอาการป่วย และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเจ็บคอและแน่นจมูก จึงมีการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 3 ผลปรากฏว่าพบเชื้อ และอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์

“ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 – 12 ธันวาคม ผู้ป่วยอยู่ในสถานที่กักตัวและไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นดังนั้นจึงมีความปลอดภัยสูง ประชาชนคลายความกังวลได้ ส่วนผู้ที่พักอยู่ในคอนโดเดียวกันหากไม่ได้มีอาการป่วย ก็เท่ากับไม่มีความเสี่ยง แต่หากมีความสงสัย มีอาการป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ หรือมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ทั้งนี้ความเสี่ยงของผู้ป่วยจำกัดอยู่ในแค่กลุ่มนี้ที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ขอให้ตระหนักในการป้องกันตัวต่อไป เพราะเรามีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากสถานที่อื่นด้วย ดังนั้นมาตราการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมยังมีความสำคัญและสามารถลดโอกาสในการรับเชื้อได้” นพ.โสภณ กล่าว

Advertisement

นพ.โสภณ กล่าวว่า ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ถือว่าความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากอยู่ในการควบคุมและมีการติดเชื้ออยู่ในวงจำกัด คาดว่าทาง รพ.จะมีการตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้งก่อนที่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกลุ่มนี้จะกักตัวครบ 14 วัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ป่วยรายใหม่นี้เป็นพยาบาลหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ผู้ป่วยรายที่ 7 ไม่ใช่พยาบาลแต่ทำงานอยู่ในรพ. มีความเสี่ยงต่ำกว่ารายอื่น เพราะถูกแยกตัวออกไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมและข้อดีก็คือแม้ตรวจไม่พบเชื้อ แต่ก็ยังอยู่ในระหว่างการกักตัว ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 31 รายนั้น ตามมาตรการแล้วจะมีการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 3 ในวันพรุ่งนี้(15 ธันวาคม) แต่เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้มีอาการป่วยก่อนจึงมีการตรวจหาเชื้อและพบก่อนรายอื่น

Advertisement

“ผู้ป่วยรายที่ 7 นี้เป็นหนึ่งในผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 รายและเป็น 1 ใน 10 รายที่ทำการตรวจหาเชื้อตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ในวันพรุ่งนี้จะครบระยะเวลากับตัว 10 วันและเป็นการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 3 อย่างไรก็ตามในระหว่างช่วงเวลากักตัววันที่ 5-7 อยู่ในระหว่างฟักตัวของโรค ในรายนี้เริ่มมีอาการในวันที่ 8 นับจากวันแรกที่กักตัว ก็อาจจะช้ากว่ารายอื่นแต่ถือว่าอยู่ใน 10 วัน ที่สามารถตรวจพบเชื้อได้” นพ.โสภณ กล่าว

เมื่อถามถึงความคืบหน้าที่หลายประเทศฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชากรแล้ว ไทยจะมีมาตรการในการรับคนกลุ่มนี้เข้าประเทศอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงต่อจากนี้คือจะมีประชากรจำนวนหนึ่งได้รับวัคซีน ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคไม่เท่ากัน ทางกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการวิชาการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กำลังศึกษาในการกำหนดมาตรการเพื่อรองรับกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว

“คาดว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน มีใบรับรองการฉีดวัคซีนและมีผลตรวจยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันแล้ว จะได้รับการดูแลที่ต่างจากปัจจุบันที่ทุกคนที่เข้ามาในประเทศไทยจะต้องได้รับการกักตัว 14 วัน แต่การเปลี่ยนแปลงที่จะมีการรองรับผู้ที่เข้ามามากขึ้น หากฉีดวัคซีนและมีภูมิคุ้มกันแล้วก็จะมีการผ่อนคลายมาตรการ ทำให้เราสามารถรองรับและดูแลและรองรับผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะมีการออกแนวทางมาในเร็วๆ นี้” นพ.โสภณ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image