‘ศุภชัย’ ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจดี ชง 8 ข้อฟื้นประเทศไทยหลังโควิด-19

‘ศุภชัย’ ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจดี ชง 8 ข้อฟื้นประเทศไทยหลังโควิด-19

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังก์ถัด) และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ปาฐกถาพิเศษในงาน TJA Talk เนื่องในโอกาสครบรอบ 66 ปี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย หัวข้อ “มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก” ว่า ที่ผ่านมา ได้ถูกสอบถามถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังเกิดวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก หลายเรื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

โดยคำถามแรก คือกรณีที่รัฐบาลได้มีการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินให้กับประชาชนนั้น ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะทำให้สถาบันการเงินได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.กำหนดเพดานไว้ไม่ต่ำร้อยละ 11 แต่สถาบันการเงินไทยการกันสัดส่วนนี้ไว้มากถึง ร้อยละ 19-20 เช่นเดียวกับเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีสะสมอยู่ถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าปี 2540 ที่มีอยู่เพียง 5-8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ถือว่าฐานะทางการเงินของประเทศยังคงแข็งแกร่งอยู่อย่างแน่นอน

นายศุภชัย กล่าวว่า ส่วนเรื่องการว่างงาน ปกติประเทศไทยมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยต่อปีประมาณร้อยละ 0.9 ยกเว้นเข้าสู่ช่วงเด็กจบใหม่เข้ามาตลาดงานก็อาจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย 3-4 แสนคน โดยที่ผ่านมา มีการนำเสนอว่า ช่วงการเกิดโควิด-19 จะทำให้มีจำนวนคนว่างงานทะลุถึง 8-10 ล้านคน แต่ตัวเลขจริงที่ออกมาก็ไม่เป็นตามนั้น เพราะล่าสุดในปลายปีที่แล้ว มีจำนวนคนว่างงาน 7-8 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ประมาณร้อยละ 1.9-2 เท่านั้น แต่ตัวเลขนี้อาจทะลุไปถึง 1 ล้านคนก็เป็นไปได้ แต่จะไม่ถึง 2 ล้านคน ซึ่งตัวเลขที่ออกมาประเมินเอาไว้ส่าจะสูงถึง 8-10 ล้านคนเป็นไปไม่ได้แน่นอน

Advertisement

“หากเราจะพูดถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงต่อไปนี้ แนวโน้มไม่น่าจะเลวลง แนวโน้มมันมีแต่จะเรียบๆ ทั่วโลกอาจมีการสะดุดบ้าง เพราะกระบวนการต่อสู้กับโรคระบาดมันจะเวียนกลับมา เพราะว่าเราสู้ชนะส่วนหนึ่งไปแล้ว เขาจะกลายเป็นพันธุ์ใหม่ แล้วกว่าเราจะเอา 100 กว่าประเทศทั่วโลกที่ติดไปกลับมาหายพร้อมเพียงกัน อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาถึง 5-7 ปี โดยทุกคนมีการฉีดวัคซีนแล้ว แต่วัคซีนที่ได้ก็ไม่รู้ว่าคุ้มกันได้ขนาดไหน ซึ่งสภาพที่เรามองจากในจุดที่มันค่อนข้าง จะแย่และจะแย่ไปมากกว่านั้นอีก มันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะในช่วงที่เป็น Extreme Conditions หรือภาวะที่เรียกว่าสุดกู่ อย่าได้ลากเส้นทางเศรษฐมิติขึ้นมาเพราะมันไม่ใช่ภาวะปกติ มันจะกระโดด เพราะมันจะไม่ดีเหมือนเดิม แต่ก็ไม่อยากให้หนักใจ หรือตื่นตระหนกตกใจมาก” อดีตเลขาธิการอังก์ถัด กล่าว

นายศุภชัย กล่าวว่า ภาวะที่เจอวันนี้ ก็เห็นสอดคล้องกันกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งออกมาเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจไทยว่า เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจจากเดิมที่บอกว่าจะติดลบ ร้อยละ 10 แต่ตัวเลขจริงออกมาทั้งปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบ ร้อยละ 6.1 ส่วนเรื่องของหนี้สินนั้น ไม่ใช่แค่รัฐบาลไทยอย่างเดียว แต่รัฐบาลทั่วโลกเจอโจมตีเหมือนกันหมดว่าเป็นรัฐบาลนักกู้กันทั้งนั้น

“ซึ่งมาถามผม อยากจะถามว่ามีประเทศไหนที่รัฐบาลไม่กู้เงินเอามาช่วยประชาชนเพื่อทำ Survival Economic หรือการทำเศรษฐกิจให้อยู่รอด คือ เอาแค่อยู่รอด แต่จะกู้มากกู้น้อย หรือพิมพ์แบงก์หรือไม่ ก็ทำทั้งนั้น ล่าสุดทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ต่างก็เปิดช่องให้หลายประเทศกู้เงินในเงื่อนไขพิเศษทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนทั่วโลก

ดังนั้น ในขณะนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ซึ่งกำลังเข้าใกล้กรอบความยั่งยืนทางการเงินการคลังที่กำหนดเอาไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อจีดีพี หรือประมาณ ร้อยละ 50 นั้น หากเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งก็เพิ่มไปถึงร้อยละ 60 แต่พอผ่านไปก็เริ่มชะลอลงเหลือร้อยละ 40 และเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงร้อยละ 50 ซึ่งส่วนตัวมองว่า สัดส่วนที่กำหนดเอาไว้ ร้อยละ 60 เป็นตัวเลขที่ดีหากทำได้ ส่วนประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนสูงกว่านี้มาก

ผมเป็นคนออกไปพูดเมื่อปีที่แล้ว 2-3 ครั้ง ว่า หากกู้เงินเพิ่มจนทำให้สัดส่วนหนี้สูงทะลุกรอบร้อยละ 70-80 ผมยังยอม เพราะตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องกู้มาประคองเศรษฐกิจแบบเอาแค่อยู่รอด คุณอย่าเอามาตรฐานตอนที่ดีๆ มาพูดกัน คือ ถ้าคุณดีๆ อยู่แล้ว คุณไปกู้ อย่างนี้เรียกว่าข้างในคุณเน่าแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังเน่าอยู่บนเปลือก เราต้องรักษาเอาไว้ไม่ให้มันไปหาข้างใน แต่ถ้าคุณบอกแบบนี้ไม่เอา ผมว่าคุณคิดแบบนี้คุณฉลาดไม่พอ โดยตอนนี้ดอกเบี้ยกำลังอยู่ใกล้ศูนย์ด้วย” นายศุภชัย กล่าวและว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลได้กู้เงินด้วยการออก พ.ร.ก.มาแล้ว ขณะนี้ยังมีเงินพอแน่นอน แต่ก็ต้องใช้ให้เหมาะสม ถูกเรื่อง ถูกเวลา

“ใช้กระสุนให้พอถ้าจะตุนเอาไว้ ดีกว่าไปถล่มใช้ทีเดียวหมดแล้วกู้ใหม่ แต่ถ้าหมดก็ต้องลองมาดูกันอีกที อย่างเอามาช่วยเอสเอ็มอี อยากให้ใช้ให้หมดไปเลย เงินยังเหลืออยู่อีก อยากให้ปล่อยเงินให้ง่าย อย่าหวงให้เขาเอาเงินไปใช้ลงทุน ถ้าทำได้เร็วเขาจะดีขึ้นทั้งหมดเลย แต่ถ้าเรายังชะลอ ๆ เขาจะอยู่ไม่รอดเมื่อสถานการณ์กลับมาดีแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาไม่ปกติขืนไปรบแบบปกติคุณก็แพ้สงคราม” นายศุภชัย กล่าว

อดีตเลขาธิการอังก์ถัด กล่าวถึงการฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ว่า ได้ยกประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงปี 2564 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุเอาไว้ 8 ข้อ ซึ่งตรงกับที่คิดไว้ คือ

1.การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศ ที่ผ่านมาเราจัดการดีแต่ปล่อยคนเข้ามาน้อย แต่ก็ต้องดูให้เหมาะสมค่อยๆ เปิด โดยเฉพาะหลังจากมีวัคซีนเต็มที่ ซึ่งทั่วโลกจะทำแบบบับเบิลเทรนด์ทั้งนั้น

2.การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ และการเมืองมีเสถียรภาพ ส่วนตัวคิดว่า ชั่วกัปชั่วกัลป์ เราขอกับประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยผมเริ่มต้นการเมืองมา จนเลิก การเมืองมีเสถียรภาพของบ้านเราเป็นอะไรที่ลำบาก แต่ว่าเฉพาะบ้านเรามีปัญหาก็ไม่ถูก เพราะจากที่ไปทำงานมากับหลายสิบประเทศทั่วโลกก็เห็นปัญหานี้ว่าทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา ประชาธิปไตยกำลังอยู่ในช่วงฟูมฟัก อ่อนแอ ก็ยังปัญหา

“และหวังว่าสักวันหนึ่งจะมี Political Distancing หรือ การเมืองแบบเว้นระยะห่างเกิดขึ้นมาบ้าง ให้สงบๆ อยู่ห่างๆ กันบ้าง อย่าประชิดตัวกันมากเกินไป หรือใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมืองอย่างเดียว โดยไม่ได้แก้เศรษฐกิจ เพราะทั้งหมดนั้นใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน” นายศุภชัย กล่าวและว่า

3.ช่วยเหลือการท่องเที่ยวและเอสเอ็มอี เป็นการท่องเที่ยวเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ทำลายสิ่งแวดล้อม

4.เร่งการใช้งบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุน

5.เร่งให้ภาคเอกชนได้ลงทุนจริง โดยจะต้องผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงให้ได้ เพราะปัจจุบันเรามีสัดส่วนการลงทุนจริงต่อจีดีพี ร้อยละ 23 ขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 30 ดังนั้น จึงต้องทำให้ได้ร้อยละ 27-30

6.การเตรียมความพร้อมทางด้านการท่องเที่ยว

7.การแก้ไขปัญหาภัยแล้งและภาคเกษตร และการรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก และ 8.การเตรียมตัวรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก

นายศุภชัย กล่าวว่า มี 4 ข้อที่อยากให้เน้น 1.การอัดฉีดเงินเข้าไปเพื่อประคองเศรษฐกิจนั้นทำได้ แต่ก็ต้องทำพร้อมกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปด้วยโดยอย่าละเลย โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจหมุนเวียน – เศรษฐกิจสีเขียว (BCG โมเดล) โดยเฉพาะ Bio Economic ที่มีความสำคัญอย่างมากกับประเทศไทย

2.ด้านการศึกษา จะถดถอยทุกปีไม่ได้ เพราะที่ผ่านการอันดับทางการศึกษาของไทย โดย WEF ประกาศลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ตัวเลขเด็กมัธยมศึกษาที่ไปต่ออาชีวะศึกษามีแค่ ร้อยละ 45ของการศึกษาทั้งประเทศ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมแล้วจะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 90 เพื่อให้ผลิตคนให้ตรงตามความต้องการได้ และจากนี้ไป 20 ปีข้างหน้า สังคมไทยจะเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดมีประชากรกว่าร้อยละ 28 ที่มีอายุเกิน 60 ปี พร้อมกันนี้ยังต้องพัฒนาทักษะคน โดยเพิ่มผลิตภาพเพิ่มขึ้น

3.การลงทุนปัจจุบันมีจำนวนการลงทุนน้อยมากและต่ำมาก โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ปรับลดลงมาก โดยต่ำว่าประเทศเวียดนามแล้ว โดยมีคำขอแต่ยังไม่มีการลงทุน

และ 4.เรื่องการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนควบคู่ไปกับเอสเอ็มอี โดยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะถือเป็นเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับฐานรากจริง

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image