เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 มกราคม ที่ศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลางคณะพิเศษออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี รมว.คลัง รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 กรณีขอเพิกถอนคำสั่งที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ปล่อยให้เกิดทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังเกิดความเสียหายมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ โดยการไต่สวนดังกล่าวเป็นการไต่สวนตามคำขอของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้ตามคำสั่งดังกล่าวหรือระงับคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
เมื่อพอถึงเวลานัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาพร้อมกับนายนพดล หลาวทอง ทนายความผู้รับมอบอำนาจ และมีกลุ่มมวลชนมาคอยให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ภายหลังการไต่สวนนานกว่า 1ชั่วโมงเศษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้ศาลเรียกไต่สวนทั้งผู้ร้องเเละผู้ถูกฟ้องโดยหลังจากไต่สวนเสร็จในวันนี้ได้ให้ ทั้ง 2 ฝ่ายทำคำชี้แจงเพิ่มเติมได้อีกในภายหลัง วันนี้ตนได้ชี้แจงถึงความเดือดร้อนเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากมีการบังคับคดีว่าในช่วงระหว่างการพิจารณาคดีอยู่และยังไม่เป็นที่สิ้นสุด หากทรัพย์ต่างๆ ถูกยึดอายัด และขายทอดตลาดจะเป็นความเดือนร้อน ทุกข์ใจ และเศร้าใจอย่างมากมาย และเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งในแง่ของวิธีการ ตัวเลข และหลักคิดทั้งหมด จึงเป็นที่มาของการมาร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองในครั้งนี้ ศาลได้ให้ตนทำคำชี้แจงเพิ่มเติมในประเด็นรายละเอียดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากการถูกบังคับคดีในขณะนี้มีแค่ไหน จะต้องชี้แจงเพิ่มเติมให้ครบถ้วน
“ไม่ใช่ลำพังแค่ตัวดิฉันเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่จะเดือดร้อนถึงครอบครัวด้วย โดยดิฉันมีหลายประเด็นที่ยังทุกข์ใจ ถ้าศาลจะให้โอกาสก็ต้องบอกว่าเป็นความลำบากใจที่ยากจะพรรณนาและบรรยายไม่ออก เพราะเป็นหนี้ก้อนโตมหาศาลที่ชั่วชีวิตก็ไม่สามารถชดใช้ได้หมด และยังต้องมาเจอเรื่องของทรัพย์สินถ้าเกิดไม่ได้ชำระ จะถูกยึดอายัดและขายทอดตลาด จะเหมือนกับคนที่สิ้นเนื้อประดาตัว มันหนัก พูดสั้น ๆแค่นี้ก็ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรแล้ว”น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ด้านนายนพดล กล่าวว่า ในวันนี้ฝ่ายตนได้นำพยานเข้าไต่สวนรวม 2 ปากคือตนและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนฝ่ายผู้ถูกฟ้องมอบหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังเข้าชี้แจงรวม 3 ปาก แต่ในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังที่ได้รับมอบอำนาจมายังไม่ได้ทำคำชี้แจงมาศาล จึงสั่งให้มีการจัดทำและยื่นภายหลัง อย่างไรก็ตามประเด็นฝ่ายผู้ฟ้องชี้แจงกับศาลก็คือ คำสั่งดังกล่าวมีเหตุไม่ชอบหลายประการ เช่น เรื่องการให้ชดใช้เงินจากการทำหน้าที่ในการกำกับดูแลบริหารงานโครงการในทางนโยบาย ตามกฎหมายแล้วไม่อยู่ในบังคับที่จะให้หน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งให้ชดใช้เงินได้ การบริหารงานในลักษณะนี้ยังไม่เคยปรากฏในการบริหารราชการแผ่นดินไทยว่านายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับในทางนโยบายจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายใดมาก่อน การกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาเป็นการกระทำด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ไม่ได้เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ หรือทุจริต และการออกคำสั่งให้ชดใช้ดังกล่าวก็มีผลมาจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นเอง สอบเอง สรุปผลเอง โดยยังไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาของศาลหรือหน่วยงานใด และการกำหนดค่าเสียหายก็ไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ของกฎหมาย มีการตั้งหน่วยงานบังคับคดีขึ้นมาก่อนที่คณะกรรมการจะมีมติว่ามีความผิด
นายนพดล กล่าวถึงขั้นตอนการบังคับคดี ว่าขณะนี้เลยกรอบเวลา 30 วันที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องชดใช้ตามคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ออกมาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 แล้วเเต่ไม่ได้มีการปฎิบัติตาม จนกระทรวงการคลังมีหนังสือเตือนมาวันที่ 4 มกราคม 2560 ในทางปฏิบัติกรมบังคับคดีสามารถดำเนินการเรื่องการยึดทรัพย์ได้เลย แต่เมื่อคดีอยู่ในศาลกระทรวงคลังได้แจ้งต่อศาลว่าจะรอคำสั่งศาลก่อนจึงยังไม่ได้มีการดำเนินการบังคับคดีแต่อย่างใด