วันที่ 25 มิถุนายน นายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วง กรณีเด็กๆ 12 คน เป็นโค้ชฟุตบอล อีก 1 คน พลัดหลงอยู่ภายในถ้ำหลวง เขตวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน หมู่บ้านจ้องวัด หมู่ 9 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย นั้นคือ อากาศภายในถ้ำที่มีอยู่น้อยมาก ยิ่งหากมีฝนตกน้ำไหลเข้ามา น้ำจะยิ่งปิดช่องทางระบายอากาศ นอกจากน้ำแล้ว ตะกอนดินที่อาจจะมากับน้ำก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ช่องลม หรือช่องอากาศมีพื้นที่น้อยลงได้ ทั้งนี้ลำพังไม่มีอาหารกินไม่น่าเป็นห่วงเท่า มีอากาศหายใจน้อย เรื่องอาหารนั้น ในถ้ำมีน้ำอยู่น่าจะกินน้ำบรรเทาความหิวไปได้
“สมัยที่เป็นอธิบดีกรมอุทยาน เคยเข้าไปสำรวจในถ้ำเหมือนกัน แต่เข้าไปไม่ลึกมาก ดูแค่ภาพรวมกว้างๆ ตอนนั้นก็กำชับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นหน่วยพิทักษ์วนอุทยานถ้ำหลวงฯว่า หากมีฝนตก หรือช่วงน้ำหลาก ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ ทั้งนี้ภายในถ้ำยังไม่มีนักสำรวจชาวไทยคนไหนเคยสำรวจอย่างจริงจัง ทะลุปรุโปร่ง มีแต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปและออกมาเล่าต่อๆกัน ซึ่งความยาวของถ้ำที่ยาวเป็นระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตรนั้น ระยะทางดังกล่าวก็ยังอยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย ไม่น่าจะออกไปประเทศพม่าอย่างที่พูดกันในโซเซียล”นายดำรงค์ กล่าว
นายดำรงค์ กล่าวว่า สำคัญมาก ถ้ำทุกแห่งในประเทศไทย โดยเฉพาะถ้ำที่มีน้ำไหลผ่านเข้าออก ควรจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างเคร่งครัด หากมีฝนตกไม่ควรปล่อยให้ใครเข้าไป ทั้งนี้ก็ควรสังเกตพฤติกรรมท่าทางของผู้ที่จะเข้าไปในถ้ำด้วย หากมีพฤติกรรมน่าสงสัยก็ไม่ควรให้เข้าไป ทั้งถ้ำที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือที่อยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติ เพราะอาจจะมีการแอบเอายาเสพติดเข้าไปซุกซ่อน หรือเข้าทำผิดกฏหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเข้าไปแล้วอาจจะเกิดอุบัติเหตุพลัดหลง เป็นอันตรายอย่างกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ได้