เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์สาทร นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี แถลงความคืบหน้ากรณีการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าบีทีเอสให้บริการขัดข้อง ว่า ตั้งแต่คืนวันที่ 29 มิถุนายน บีทีเอสได้เปลี่ยนเครื่องรับวิทยุสื่อสารที่ใช้ในระบบอาณัติสัญญาณ พร้อมย้ายคลื่นความถี่สัญญาณแล้วเสร็จ โดยได้มีการทดสอบระบบควบคู่ไปกับการให้บริการระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม พบว่าสามารถกลับมาให้บริการได้ตามปกติ
“แต่เนื่องจากเป็นการติดตั้งระบบใหม่ ซึ่งเดิมแผนงานจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เพราะต้องใช้เวลาทั้งการติดตั้ง และการทดสอบระบบ ซึ่งต้องทดลองในช่วงกลางคืนหลังจากการเดินรถแบบปกติ แต่เมื่อเกิดปัญหา บีทีเอสจำเป็นต้องเร่งติดตั้งอุปกรณ์เป็นการเร่งด่วน ปัจจุบันรถไฟฟ้าสามารถให้บริการได้ แต่อาจจะมีการกระตุก กระชากบ้างเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าเล็กน้อย จึงขอเวลาในการปรับแต่งอีกไม่นาน พร้อมกันนี้ บีทีเอสได้สั่งซื้ออุปกรณ์กรองสัญญาณมาติดตั้งเพิ่มเติม โดยอุปกรณ์ดังกล่าวสั่งจากต่างประเทศ คาดว่าจะถึงช่วงเช้าของวันที่ 6 กรกฎาคมนี้ บีทีเอสพร้อมติดตั้งที่ขบวนรถทันทีภายใน 1 วัน จะแล้วเสร็จ เชื่อว่าภายในสัปดาห์นี้จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” นายสุรพงษ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วง 3 วัน ที่รถไฟฟ้าขัดข้องมีผู้โดยสารได้รับผลกระทบจำนวนเท่าใด นายสุรพงษ์ กล่าวว่า คาดว่าประมาณ 1 แสนคน
เมื่อถามต่อว่า เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน เป็นไปได้หรือไม่ที่บีทีเอสจะให้ผู้โดยสารขึ้นฟรีในช่วงที่ระบบการเดินรถยังไม่เข้าที่เข้าทาง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ระบบดีขึ้นมากแล้ว
ทั้งนี้นายสุรพงษ์ ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกรณีการแก้ไขปัญหาคอขวดที่สถานีตากสิน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การบริการรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเกิดความล่าช้า ว่า เนื่องจากจุดดังกล่าวมีรางเดียว ทำให้เปิดอุปสรรคต่อการเดินรถ แต่ล่าสุดบีทีเอสได้ส่งแบบให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เจ้าของพื้นที่พิจารณา และล่าสุดได้รับแจ้งจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้ขอให้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เสนอให้พิจารณาเพิ่มเติม ขณะนี้บีทีเอสอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3-4 เดือน หากหลังจากนี้ได้รับอนุมัติจากทั้ง ทช.และ สผ. ก็สามารถเดินหน้าก่อสร้างรางเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี มูลค่าการลงทุน 1,100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในเรื่องเงินลงทุนนั้น ยังไม่ได้ขอยุติว่าใครจะรับผิดชอบ ต้องหารือกันอีกครั้ง
