เมื่อวันที่ 24 ผศ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวทะเลไทย ว่า ตามหลักยุทธศาสตร์ได้เน้นปัจจัยด้านโลจิสติกส์ และการท่องเที่ยวชมสัตว์ทะเลหายาก
ผศ.ธรณ์ กล่าวว่า ด้านโลจิสติกส์ ประเทศต่างๆ ในเอเชียบินเข้าไทยในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 32 เที่ยว/สัปดาห์ ถือว่าในโซนเอเชียยังเป็นตลาดหลักของไทย ส่วนการรองรับในเรื่องท่องเที่ยวทางทะเล สนามบินหลักๆ เต็มพื้นที่แล้ว อาจมีเพียงที่จ.กระบี่ที่ยังพอรองรับได้ในอนาคต ส่วนการขยายสนามบินภูเก็ตลงทะเลตนไม่เห็นด้วย เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อแนวปะการังสิรินาถ และพื้นที่อื่นๆ และเท่าที่ทราบจากรัฐมนตรีคมนาคม ก็ยังไม่มีโครงการในเรื่องนี้ น่าจะเป็นบนแผ่นดินในพื้นที่ใกล้เคียงมากกว่า ส่วนคมนาคมทางเรือมีข้อตกลงว่าท่าเรือที่สร้างต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง ที่สำคัญคือ ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับคนท้องถิ่น
ผศ.ธรณ์ กล่าวต่อว่า การท่องเที่ยวดูสัตว์ทะเลหายากเป็นกิจการท่องเที่ยวหลักในหลายประเทศ แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนหลายแสนล้าน และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) ได้รายงานว่าปัจจัยหลักด้านบวกที่ทำให้การท่องเที่ยวเติบโต คือ การท่องเที่ยวทางทะเล โดยเฉพาะการพบเห็นฉลามวาฬและวาฬบรูด้าที่เป็นข่าวต่อเนื่อง ขณะที่ตนได้ผลักดันสัตว์ทะเลหายากให้เป็นสัตว์สงวนและสัตว์คุ้มครอง เพื่อให้สัตว์ทะเลหายากได้รับการคุ้มครองคู่กับการผลักดันการท่องเที่ยวที่ถูกต้อง
“สำหรับคนที่กลัวว่าจะมีคนไปดูเยอะ ทำให้รบกวนสัตว์ ต้องเข้าใจว่าหากเราไม่ใช้ประโยชน์ สัตว์พวกนั้นยังถูกเมิน ถูกมองข้าม ยิ่งไม่มีใครสนใจ สัตว์เหล่านั้นก็จะได้รับอันตรายจากเรื่องอื่นๆ ซึ่งน่ากลัวกว่าคนไปดูด้วยซ้ำ ดังนั้นการเรียกร้องให้อนุรักษ์ดูแลสัตว์ โดยที่สัตว์นั้นไม่ได้สร้างประโยชน์หรือมูลค่า เป็นเรื่องที่เก่าไปแล้วสำหรับเมืองไทย และพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าน้ำตาตก เพราะคนสงสารแต่ไม่เกิดผลลัพธ์ เป็นกระแสแค่วูบเดียวและสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” ผศ.ธรณ์ กล่าว
กรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรฯ กล่าวว่า ใครๆ ก็อยากให้ประเทศไทยรวยขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องอนุรักษ์วาฬและสัตว์หายากโดยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สัตว์เหล่านั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองด้านการพัฒนาได้
