แพทย์เตือนเป็นหวัด เจ็บคอ ไอ อย่าซื้อ ‘ยาแก้อักเสบ’ กินเอง

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้เป็นฤดูฝน อากาศเปลี่ยนแปลง ประชาชนมักป่วยเป็นไข้หวัด คออักเสบ มีอาการคัดจมูก มีน้ำมูก มีไข้ เจ็บคอ ไอ หรือเสียงแหบจากหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน จึงขอเตือนประชาชนว่าอย่าซื้อยาปฏิชีวนะ หรือที่เรียกกันว่า “ยาแก้อักเสบ” มากินเอง เพราะไข้หวัดกว่าร้อยละ 90 เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ยาปฏิชีวนะเป็นยารักษาโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จึงไม่ช่วยลดความรุนแรงหรือช่วยให้หายเร็วขึ้น ที่สำคัญอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกายกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยาได้ ทั้งนี้ นพ.ปิยะกุล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการ สธ.มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่งส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลใน 3 โรค ที่พบบ่อย คือ หวัด-เจ็บคอ โรคท้องร่วง และแผลเลือดออก

นพ.โอภาส กล่าวว่า ในการสังเกตว่าเป็นหวัดจากไวรัสหรือแบคทีเรีย สามารถทำได้เองโดยใช้ไฟฉายส่องในช่องปากและดูภายในลำคอจากกระจก หรือใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ หากเป็นหวัดจากเชื้อไวรัส จะมีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ คอหอยและต่อมทอนซิลจะเป็นสีแดง เพียงผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมากขึ้น ดูแลร่างกายให้อบอุ่นกินยารักษาตามอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไข อาการจะดีขึ้น ไข้จะค่อยๆ ลดลงใน 3-4 วัน และหายเองได้ภายใน 7 วัน

“ส่วนอาการไออาจจะนานถึง 21 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลดภายใน 2-3 วัน ขอให้ไปพบแพทย์ กรณีที่มีไข้สูง เจ็บที่ต่อมน้ำเหลืองด้านข้างลำคอ คอหอยและต่อมทอนซิลแดงจัด และมีฝ้าขาวหรือตุ่มหนอง อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ให้ไปพบแพทย์ และเมื่อได้รับยาปฏิชีวนะให้กินยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดจนหมด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม เพื่อให้หายขาด ไม่กลับเป็นซ้ำ ลดความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนจากหวัด เช่น หัวใจพิการเป็นต้น ลดปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตปีละกว่า 30,000 คน” นพ.โอภาส กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -วันที่ 27 สิงหาคม ทั่วประเทศพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 95,239 ราย เสียชีวิต 14 ราย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image