เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 กันยายน ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง) นายเกรียงยศ สุดลาภา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วย นางอัจราวดี ชัยสุวิรัตน์ ผู้อำนวยการเขตคลองเตย แถลงผลถึงดำเนินการกรณี นายทิมทอง ปัญญาอิน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากทม. ตำแหน่ง ครูวิทยะฐานะชำนาญการ โรงเรียนวัดสะพาน เขตคลองเตย ได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง เรื่อง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับเด็กเรียนหญิงช่วงปีการศึกษา 2556 โดยมีลักษณะโอบกอด หอมแก้ม หอหน้าผาก อุ้ม ลูบก้น จับ ลูบ ถูกหน้าอก จูบปากดึงฉุดเข้าไปในห้องและเรียกให้ไปพบจับเหวี่ยงลงพื้นนั่งคร่อมและพยายามถอดเสื้อนักเรียน จำนวน 16 รายนั้น อีกทั้ง ยังมีพฤติกรรมเดียวกันเกิดขึ้นกับเด็กหญิงวัย 15 ปีตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) วันที่ 28 สิงหาคม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ไล่ออก ตามคณะอนุกรรมการ (อ.ก.ก.) วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกราชการ ทำการแทน ก.ก.ได้พิจารณาเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม เห็นว่าพฤติการณ์ นายทิมทอง เป็นการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงเป็นผู้ประพฤติชั่วร้ายแรงและฐานกระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลของตนหรือไม่เป็นความผิดวินัยร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2557 และข้อบังคับคุรุสภาจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ.2556 โดยมีผลบังคับเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา
“ปัจจุบัน นายทิมทอง ไม่ได้สอนและปฎิบัติราชการภายในโรงเรียนวัดสะพานแล้ว อีกทั้ง ไม่สามารถบรรจุหรือแต่งตั้งยังโรงเรียนสังกัดกทม.อื่นได้ เนื่องจากมีคำสั่งลงโทษถูกไล่ออกจากราชการ ส่วนกรณีล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งครูคนดังกล่าวก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับเด็กหญิงวัย 15 ปีนั้น ขณะนี้ อ.ก.ก. อยู่ระหว่างการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริง โดยกรณีนี้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งตนเองได้กำชับให้เร่งรัดการพิจารณาให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น หลังจากนี้คาดใช้ระยะเวลาไม่นาน” นายเกรียงยศ กล่าว
นายเกรียงยศ กล่าวว่า วันนี้ได้นำผลพิจารณากรณี นายทิมทอง รายงานในที่ประชุมผู้บริหารกทม. โดยกำหนดนโยบายให้ผู้อำนวยการเขตและผู้อำนวยการโรงเรียนติดตามและใกล้ชิดเรื่องดังกล่าวมากขึ้น พร้อมจัดประชุมผู้บริหารโรงเรียน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อติดตามพฤติกรรมของครูผู้สอนภายในโรงเรียน ขอเรียนว่า กทม. ให้ความสำคัญประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างสูง ปัจจุบันครู กทม. มีประมาณ 19,000 คน แบ่งเป็นสัดส่วนครูผู้หญิงมากกว่าครูผู้ชาย มองว่าการทำอนาจารควรกำชับทั้งครูผู้ชายและหญิง ไม่เพียงเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง ส่วนผู้รู้เห็นจะยินยอมแจ้งข้อมูลการกระทำผิดหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่สามารถบังคับได้
นายเกรียงยศ กล่าวถึงการแตะเนื้อต้องตัวเด็กนักเรียนนั้นทั้งครูผู้หญิงและผู้ชายนั้นว่า ถูกระบุเป็นข้อห้ามอยู่ในมาตรการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครทั้ง 437 แห่ง และกำหนดลงในคู่มือการเรียนการสอนของครูผู้สอนแล้ว ผลจากกรณีนี้เป็นข้อคิดอย่างยิ่งต่อ กทม.ดั่งสำนวน “ปลาตายตัวเดียว เน่าทั้งคลอง” ต้องยอมรับว่าการดูแลบุคคลให้อยู่ภายใต้มาตรการของกทม.เป็นเรื่องยากลำบาก ขณะที่ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสะพานนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นกับกรณีดังกล่าว จึงไม่มีบทลงโทษต่อผอ.โรงเรียนคนนั้น แต่ต่อไป กทม.จะกำหนดบทลงโทษผู้อำนวยการโรงเรียนด้วย หากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นอีก ผู้บริหารโรงเรียนต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ผู้สื่อข่าวถึงการเยียวยาผู้เสียหายและผู้ปกครอง นายเกรียงยศ กล่าวว่า กทม.จะเรียกผู้เสียหายเข้ามาพูดคุยภายหลังผลพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว โดยเบื้องต้น ผู้อำนวยการเขตและผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสะพานจะประสานไปยังผู้ปกครองเพื่อให้รับทราบเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แนวทางเยียวเบื้องต้น ผู้เสียหายและผู้ปกครองจำเป็นต้องเดินทางไปพบสหวิชาชีพและจิตเวชว่า ผู้เสียหายได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ หากมีนักเรียนผู้ที่ถูกกระทำอนาจาร ช่องทางการร้องเรียนไม่จำต้องร้องต่อผู้อำนวยการโรงเรียน แต่สามารถเข้าร้องเรียนกับผู้อำนวยการเขตได้โดยตรง ในฐานะผู้พิทักษ์นักเรียน
“กทม.ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของโรงเรียนมาก โดยผมและผู้บริหารจะลงพื้นที่สุ่มตรวจโรงเรียนทุกแห่ง นอกจากความปลอดภัย จะลงพื้นที่ติดตามเรื่องโครงการอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ผลการติดตามหลายแห่งมีการปรับปรุงคุณภาพอาหารดีขึ้น ส่วนโรงเรียนที่ยังไม่ได้มาตรฐานก็เน้นย้ำให้ปรับปรุงแก้ไข ดังนั้น อยากให้โรงเรียนปรับปรุงทันที โดยไม่ต้องรอให้ผู้บริหารลงพื้นที่ไปตรวจ เพราะถ้าลงไปตรวจแล้วพบข้อบกพร่องก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้บริหารสถานศึกษาทันที” นายเกรียงยศ กล่าว
