จากกรณีที่ภรรยาของ นาวิน ตาร์ ประกาศบริจาคน้ำนมให้แม่ที่ไม่มีน้ำนมให้ลูก ซึ่งขณะนี้มีเก็บไว้ในตู้เย็น 5 ตู้ และมีผู้คนชื่นชมเป็นจำนวนมากนั้น
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขอชื่นชมในเจตนาดีของคนที่คิดจะบริจาคนมแม่ แต่อย่างไรก็ตาม นมแม่ที่ได้จากการบริจาคมีความจำเป็นสำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักตัวน้อยผิดปกติ หรือเด็กป่วยโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับลำไส้เท่านั้น และจะต้องเป็นนมแม่บริจาคที่ได้ผ่านกรรมวิธีตรวจและฆ่าเชื้อโรคแล้วอย่างมีมาตรฐาน ต้องมีระบบธนาคารน้ำนม (milk bank) ที่เป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ และมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับระบบทางการแพทย์อื่นๆ และสำหรับคุณแม่ที่จะบริจาคนม จำเป็นต้องได้รับการซักประวัติ และรับการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าไม่มีการติดเชื้อ ไม่ใช้ยา หรือไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพน้ำนมที่บริจาค และนมที่ได้รับบริจาคจะต้องถูกตรวจสอบจากธนาคารน้ำนม มีการตรวจคัดกรองเชื้อโรคต่างๆ อย่างละเอียดทุกครั้ง
“ทั้งนี้ ธนาคารน้ำนมจะทำการกำจัดเชื้อโรคในน้ำนมทั้งแบคทีเรียและไวรัส ส่วนสารอาหารในน้ำนมบริจาคจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ทำให้เด็กยังได้รับประโยชน์จากคุณค่าสารอาหาร แต่ในส่วนของภูมิคุ้มกันมักสลายไปพอสมควรถ้าเทียบกับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากนมแม่ของตัวเองโดยตรงโดยไม่ผ่านกระบวนการ ดังนั้น จึงไม่สนับสนุนการบริจาคนมให้กันเองโดยไม่มีการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อ เพราะอาจมีผลต่อสุขภาพของเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” พญ.อัมพร กล่าวและว่า เด็กควรได้รับนมจากแม่ตนเองดีที่สุดและต้องมาจากเต้า เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่มีประโยชน์สูงสุด ซึ่งประกอบไปด้วยคุณค่าจากน้ำนมแม่ที่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และคุณค่าจากกระบวนการเลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ ซึ่งเด็กที่ปกติจะสนับสนุนให้กินนมแม่ของตนเองอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อต้าน เชื้อโรค และช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด หูอักเสบ เป็นต้น
