สัตว์-โศก

1-2 เดือนที่ผ่านมา ช่างเป็นช่วงที่เราต้องรับรู้เรื่องราวเศร้าๆ ของบรรดาสิงสาราสัตว์ถี่ๆ นับ

ตั้งแต่ ช้างพลาย น้องด้วนŽ ที่ตกลงไปในเหวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว จ.ชุมพร

พลายด้วนŽ เป็นลูกช้างน้อย อายุไม่น่าจะเกิน 3 ขวบ พิการมาตั้งแต่เกิด คืองวงขาด ซึ่งหมอล๊อต นายสัตวแพทย์ ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช บอกว่า งวงช้าง เปรียบเสมือนแขน ขา ของช้าง เมื่อแขนหรือขาพิการ ทำให้การทรงตัวค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว พื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาวนั้น เป็นที่ลาดชัน มีประวัติลูกช้างตกเหวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ตัว

ก่อนหน้านี้ก็มี พังบุญมากŽ ลูกช้างเพิ่งเกิดได้ไม่ถึงปี พลัดหลงจากฝูงแล้วตกจากเขาเหมือนกัน ยังโชคดี ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย แต่เจ้าหน้าที่ของสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่ากับอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ก็ต้องใช้พลังมากมายในการวางแผนเตรียมงาน เพื่อฟูมฟักเจ้าพังน้อย เตรียมส่งคืนโขลง และประสบความสำเร็จด้วยดี

Advertisement

ต่างจากเจ้าพลายด้วน ที่ตกลงมาแล้วเอาหลังลงกระแทกพื้น ระบบประสาทได้รับความกระทบกระเทือน อวัยวะภายในบอบช้ำอย่างหนัก แม้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะช่วยกันเยียวยา ยื้อชีวิตของพลายน้องด้วนอย่างสุดกำลังแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้

เรื่องของ พลายด้วนและพังบุญมาก อาจจะเป็นเรื่อง ช่วยไม่ได้ คุมไม่อยู่Ž เพราะมีปัจจัยธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่สำหรับการเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกระทำเสียเอง ไม่ใช่เรื่องที่น่าอภัยเอาเสียเลย

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศต่างพากันก่นด่าและสาปแช่ง ปลัดอำเภอกับพรรคพวก ที่เข้าพื้นที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนครบมือล่าสัตว์ โดยมีซากหมีขอ กบทูด เป็นหลักฐานคาตา

เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมายแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่คดีตัวอย่าง ฆ่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก ยังสะเทือนหัวใจคนไทยทั้งประเทศอยู่ไม่หาย

หมีขอ เป็นสัตว์จำพวกชะมดและอีเห็น ที่มีหน้าตาคล้ายหมี หาดูได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายนัก พวกมันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ถือว่าเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์ อีกตัวหนึ่ง

ใครได้เห็นตัวหมีขอใกล้ๆ แววตาดูทึ่มๆ ซื่อๆ ใสๆ เคลื่อนไหวช้าๆ นิ่งๆ แล้ว ลองนึกภาพคนที่ประทับปืนปลิดชีวิตสัตว์ตัวนี้ จะโหดร้ายแค่ไหน ที่ไม่สนใจความใสซื่อ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร และไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้คนพวกนี้เลย

ไม่เฉพาะคนที่ยิงโดยตรงเท่านั้น แม้กระทั่งคนที่สั่งการให้ทำเรื่องแบบนี้ ก็ดูโหดร้ายไม่น่าคบหาสมาคมด้วยเช่นเดียวกัน

ใกล้ๆ กับเหตุการณ์คนยิงหมีขอ ก็เกิดเรื่องสะเทือนใจ คนรักสัตว์ตามมาอีก 1 กรณี คือการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. … โดยในเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ กำหนดให้ผู้ครอบครอง เจ้าของ หมาแมวทั้งหลาย เอาหมาแมวของตัวเองไปขึ้นทะเบียนกับท้องถิ่น โดยจ่ายค่าขึ้นทะเบียน ทั้งหมาและแมว ตัวละ 450 บาท

เรื่องนี้เหมือนราดน้ำมันลงในกองไฟอีกครั้ง เพราะกลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก เห็นชัดที่สุดในสังคมโซเชียล ที่ส่วนใหญ่ไม่มีใครเห็นด้วยนัก

ว่ากันว่า คนร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาทำเหมือนไม่รู้จักสังคมไทย และพยายามเอาสิ่งปฏิบัติของประเทศที่พัฒนาแล้วมาใช้โดยไม่มองดูความพร้อมในบ้านตัวเอง เป็นเหตุให้เกิดอาการประชดประชันอย่างหนักในสังคม เช่น จะเอาหมาแมวในความดูแลของตัวเองไปปล่อยทิ้ง เพราะไม่มีกำลังในการจ่ายค่าขึ้นทะเบียน หรือปรากฏการประกาศตัวเอง หากกฎหมายนี้ประกาศใช้จริงๆ จะไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ฯลฯ

จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า ให้กลับไปพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้รัดกุมกว่าเดิม ไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน แล้วค่อยเสนอให้ ครม.พิจารณาใหม่

แต่ก็ดูท่าว่า ต้นสังกัดร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังยืนยันในหลักการเดิมว่า หมาแมวต้องนำมาขึ้นทะเบียน และการเสียค่าธรรมเนียมยังคงต้องมี โดยตัวเลข 450 บาท คืออัตราสูงสุด ที่กำหนดไว้ และจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด

คำยืนยันเช่นนี้ดูเหมือนจะยังคงสร้างความกังวลให้แก่เจ้าของหมาแมวทั่วประเทศ ไม่ได้ทำให้คลายความกังวล อย่างที่นายกรัฐมนตรีปลอบประโลมเอาไว้ในตอนแรกเลย

นอกเหนือจากสัตว์เลี้ยงอย่างหมาและแมวแล้ว สัตว์น้ำขนาดใหญ่ อีก 4 ตัวอย่าง วาฬบรูด้า วาฬโอมูระ ฉลามวาฬ และ เต่ามะเฟือง ที่เป็นแม่สายบัวรอคอยมานานกว่า 3 ปี ว่าจะได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวน ก็มามีอันกลายเป็นแม่สายบัวคอยเก้อ

เนื่องจาก แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าไปแล้ว แต่ไม่ผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยการแย้งของกรมประมงว่า ในกฎหมายการเป็นสัตว์ป่าสงวนไม่มีช่องทางให้ผู้ครอบครองก่อนประกาศแจ้งครอบครองให้ไม่มีความผิด ดังนั้น จึงประกาศไม่ได้ เนื่องจากไปลิดรอนสิทธิผู้ครอบครองสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนี้นั่นเอง

ทั้งหมดที่เขียนมานี้เป็นเพียงประเด็นที่พูดกันหนักๆ ในสังคมเท่านั้น

ความสูญเสียรายเล็กรายน้อยที่เกิดขึ้นกับสิงสาราสัตว์ ยังคงมีต่อเนื่องอยู่ แม้หลายเรื่องเราจะรณรงค์อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนจะได้ผลเล็กน้อยมาก

เรายังคงเห็นสัตว์ทะเลหายาก เต่ามะเฟือง โลมา พะยูน เกยตื้นตายเป็นระยะ เก้งกวาง เนื้อทราย ป่วยตายไม่ทราบสาเหตุ จนในที่สุดถึงรู้ว่า สัตว์พวกนี้กินขยะพลาสติก ที่คนทิ้งลงน้ำและทิ้งไว้ในป่า

การรณรงค์และการบอกกล่าวให้ช่วยกันทำ ยังไม่สามารถการันตีได้ว่ามันได้ผล เพราะผลที่ปรากฏออกมาให้เราประจักษ์คือ ยังมีทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ ตายอย่างทรมานไม่เป็นธรรมชาติ ให้เราเห็นอย่างต่อเนื่องเสมอมา

แล้วยังจะมีใครมาเถียงไหมว่า ในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงเวลาเศร้าโศกของสารพัดสัตว์ในบ้านเราจริงๆ

หรือใครจะบอกว่า พวกมันก็แค่สัตว์…จะไปคิดอะไรมาก

ก็แล้วแต่...

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image