“ดร.อาทิตย์” พร้อมเครือข่ายฯ ให้เวลา 1 สัปดาห์ไม่ถอนสิทธิบัตรกัญชาขัดกม. ฟ้องศาลทันที!!

เครือข่ายแถลงการณ์ประณามรัฐ หลังรับจดสิทธิบัตรต่างชาติ จ่อเดินหน้าฟ้องศาลทันที  ****** เปิดแถลงการณ์ 4 ข้อปลดล็อกกัญชาใช้ทางการแพทย์

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน  ที่สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต   มีการประชุมหารือของ “เครือข่ายภาคประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน” ซึ่งมี พล.ร.ต.ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบไอไทย) น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์)  ผู้แทนมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ผู้แทนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต นำโดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต นายคมสันต์ โพธิ์คง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์บูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ร่วมประชุมถึงอุปสรรคต่อการนำพืชกัญชามาใช้ทางการแพทย์ ใช้เวลาประชุมเกือบ 2 ชั่วโมง ก่อนแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

ดร.อาทิตย์  แถลงข่าวถึงข้อสรุปการหารือดังกล่าว ว่า จากการหารือร่วมกันระหว่าง ม.รังสิต และเครือข่ายภาคประชาสังคม เราได้ข้อสรุปร่วมกันในการออกแถลงการณ์ ซึ่งจะส่งไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่จะมีการหารือร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กรณีการรับคำขอสิทธิบัตรสารกสัดจากกัญชา และจะต้องมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. … ที่เสนอโดย สนช. 44 คน เพื่อให้ดำเนินการแก้ปัญหาตามข้อแถลงการณ์ โดยเฉพาะเรื่องของการผูกขาดกัญชาและการเพิกถอนคำขอสิทธิบัตรกัญชา ซึ่งขณะนี้ทราบว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งทีมขึ้นมาแก้ปัญหาแล้ว โดยขอเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งเราก็จะคอยดูว่า จะแก้ไขอย่างไร หากยังมีอะไรคลุมเครือ หรือไม่เป็นไปตามที่เรายื่นแถลงการณ์ ก็จะดำเนินการตามกฎหมายในการฟ้องร้องกรมทรัพย์สินทางปัญญาทันที

Advertisement

นายปานเทพ แถลงว่า ตามที่สนช.กำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อกกัญชาให้สามารถใช้้ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กลับพยายามจำกัดการใช้สารสกัดกัญชาให้ใช้ได้เฉพาะประโยชน์ทางราชการ ถือเป็นการตัดสิทธิประชาชนทั่วประเทศไม่ให้ใช้ประโยชน์และตัดสิทธิภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนมาแต่ดั้งเดิม ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์รับคำขอจดสิทธิบัตรสารสกัดของกัญชาและวิธีการใช้กัญชา พร้อมประกาศโฆษณาไปเรียบร้อยบางส่วนแล้วนั้น ส่งผลทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ป่วย ขัดขวางนวัตกรรมที่จะเกิดจากนักวิจัยไทยและภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ จึงขอเรียกร้องให้ดำเนินการ ดังนี้

นายปานเทพ กล่าวว่า 1.ต้องไม่ให้มีการผูกขาดการใช้ประโยชน์จากกัญชาไว้เฉพาะทางราชการหรือต่างชาติ หรือเอกชนรายใดรายหนึ่งเด็ดขาด ต้องให้ประชาชนมีสิทธิใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ปัจจุบันคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต สามารถวิจัยสารสกัดที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง ทำให้เซลล์มะเร็งท่อน้ำฝ่อตายเป็นผลสำเร็จ และยังสามารถพัฒนาตำรับสเปรย์สารสกัดกัญชาสำหรับฉีดพ่นในช่องปากตามมาตรฐานทางการแพทย์ อีกทั้ง สามารถสกัดสารสำคัญในกัญชาบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ยังมีนักวิจัยไทยจำนวนมากที่สามารถพัฒนาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่บางคนในภาครัฐกลับมีความคิดและนโยบายที่จะผูกขาดการปลูกการผลิต การครอบครองและจำหน่ายกัญชาให้อยู่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเพื่อประโยชน์ภาครัฐเท่านั้น ทำให้ไทยสูญเสียความมั่นคงทางยาและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ป่วย

“ทั้งที่มีงานวิจัยจำนวนมากให้ผลตรงกันว่ากัญชาเสพติด ยากกว่าเหล้าและบุหรี่เป็นอย่างมาก แต่บุหรี่และเหล้ากับไม่เคยอยู่ในบัญชีสิ่งเสพติดตามกฎหมายยาเสพติดให้โทษ” นายปานเทพ กล่าวและว่า 2.ยกเลิกคำขอจดสิทธิบัตรกัญชาทุกฉบับโดยทันที โดยปัจจุบันได้มีชาวต่างชาติยื่นจดสิทธิบัตรสารสำคัญในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 11 ฉบับ บางฉบับผ่านขั้นตอนการประกาศโฆษณาไปแล้ว อ้างว่าเป็นไปตามขั้นตอนความตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งการดำเนินนั้นผิดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย ขณะที่มหาวิทยาลัยรังสิตประสานงานจดสิทธิบัตรผลงานวิจัยและพัฒนา แต่ไม่อนุญาตเพราะอ้างว่ากัญชายังอยู่ในบัญชีสารเสพติด ถือเป็นการกีดกันคนไทยและเอื้อประโยชน์ต่างชาติ จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการยกเลิกคำขอการจดสิทธิบัตรทั้งหมดโดยทันที และพิจารณาคำขอตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

Advertisement

นายปานเทพ กล่าวว่า 3.หยุดสร้างอุปสรรคขัดขวางการสร้างนวัตกรรมและการวิจัยและใช้ข้ออ้างการวิจัยเพื่อจำกัดใช้กัญชาในทางการแพทย์ โดยกำหนดนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกมหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน สามารถวิจัยกัญชาในการแพทย์ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องสร้างขั้นตอนให้เป็นอุปสรรคต่องานวิจัย เพราะทุกมหาวิทยาลับมีขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมในวิจัยอยู่แล้ว และให้ขยายข่อบ่งชี้การใช้กัญชาในทางการแพทย์ให้มากขึ้น และให้นำมาใช้โดยทันทีด้วยดุลยพินิจของแพทย์ โดยไม่ต้องวิจัยซ้ำซ้อนกับต่างประเทศ รวมถึงตำรับยาการแพทย์แผนไทย และ 4.ปลดล็อกการใช้กัญชาเพื่อให้แพทย์แผนไทยเพื่อสืบสานมรดกการแพทย์ภูมิปัญญาพระราชทานจากบูรพมหากษัตริย์ไทย โดยได้พระราชทานตำราไทยจำนวนมากที่มีการใช้กัญชาให้แก่ราษฏรทุกคน

“เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับหรับประชาชน ขอคัดค้านและประณาม ร่างแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับกัญชา เพื่อผูกขาดการครอบครองและจำหน่ายกัญชาเอาไว้แก่หน่วยงานภาครัฐอย่างเดียว เพราะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ป่วยและประชาชน เปิดช่องทางให้เกิดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง และคัดค้านขบวนการวางแผนผูกขาดโดยภาครัฐ เพื่อต่อยอดการผูกขาดโดยต่างชาติหรือเอกชนรายใดรายหนึ่งในอนาคต ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการให้ผู้ป่วยสามารถเพาะปลูก เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สำหรับตัวเองให้ประชาชนและเอกชนสามารถขออนุญาตในการเพาะปลูกเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นการทั่วไปได้ ผลิตและแปรรูปได้ และส่งออกเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศได้” นายปานเทพ กล่าว

นายคมสัน กล่าวว่า ขอให้ปลดล็อกออกจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเปลี่ยนประเภทจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เป็นประเภทที่ 2 ยังไม่ตรงความประสงค์ของเครือข่าย เพราะกัญชายังคงเป็นยาเสพติดเช่นเดิม ทำให้เกิดการผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ได้รับสิทธิตามการผลิตยาเสพติดประเภทที่ 2 เช่นเดียวกับการกำหนดให้วิจัยการแพทย์ 5 ปีส่งผลให้เกิดการผูกขาดโดยผู้ที่ได้รับสิทธิ

น.ส.รสนา กล่าวว่า การผูกขาดมีการส่อแววแล้วว่ามีความพยายามของกลุ่มทุนที่จับมือกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อนำร่องการผูกขาดโดยรัฐ อนาคตจะทำให้เกิดการแปรรูปอภ. หรือไม่ เพื่อให้กลุ่มทุนเข้ามาร่วมทุน เช่นเดียวกับกรณีเหล้าเสรี ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขให้กับนายทุน ปิดช่องประชาชนไม่ให้ดำเนินการสิ่งใดได้

“อยากถามว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญา ใช้สติปัญญาหรือไม่ที่เปิดทางให้ต่างชาติมาจดคำขอสิทธิบัตรต่างๆ แล้วสิทธิบัตรกัญชาแต่ละฉบับที่จดไปนั้น มีรายละเอียดถึง 12 คำขออยู่ภายใน ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นรายละเอียด มองว่าควรเพิกถอนสิทธิบัตรต่างชาติและกรมทรัพย์สินทางปัญญา ควรทำเพื่อประโยชน์ของประเทศไทย เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสิทธิบัตรคิดเป็นมูลค่าหมื่นหมื่นล้านบาท แล้วไทยจะยอมยกทรัพย์สินของไทยเหล่านี้ให้แก่ประเทศอื่นได้อย่างไร โดยรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจต้องเพิกถอนสิทธิบัตร และนายกรัฐมนตรีต้องสั่งเพิกถอนทันที อย่าให้ถึงขั้นต้องมาฟ้องร้องกัน เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ ทางภาคประชาชนจะไม่หยุดเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านี้แน่นอน” น.ส.รสนา กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image