อภ.ชี้ยาจากสารสกัดกัญชามาแน่ ม.ค.62 ไม่จำเป็นต้องพึ่งต่างชาติ

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า จากการที่มีการตรวจพบว่ากัญชาของการให้โทษที่อภ.ขอมาจาก ป.ป.ส.ล็อตแรกมีการปนเปื้อนนั้น อย่างไรก็ตาม อภ.ก็ต้องหายาที่ได้จากสารสกัดของกัญชาให้กับประชาชนได้ใช้ แต่อภ.ก็จะไม่นำน้ำมันกัญชาในล็อตดังกล่าวมาใช้ในมนุษย์ แต่จะหาทางให้ได้ยามาให้เร็วที่สุดเพื่อผู้ป่วย เนื่องจากการออกกฎหมายนั้น เท่าที่ดูประมาณกลางเดือนมกราคม 2562 กฎหมายน่าจะผ่านสภา ทั้งนี้เดิมที่วางแผนไว้ว่าเดือนพฤษภาคม 2562 จะต้องมีสารสกัดกัญชาให้ผู้ป่วยได้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งจากการที่พบสารปนเปื้อนนั้น ไม่นิ่งนอนใจได้หารือกันตลอดว่าจะยังสามารถมีสารสกัดใช้ตามระยะเวลาเดิมหรือจะปรับระยะเวลาให้เร็วขึ้นได้อย่างไร

เมื่อถามว่า อภ.มีความสามารถในการผลิตและสกัดสารสกัดจากกัญชาโดยไม่ต้องพึ่งต่างชาติได้หรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ในเรื่องกัญชานั้นเรามีเทคโนโลยีในการที่จะพัฒนาสายพันธุ์เองได้ แต่ระยะแรกอาจมีบางส่วนที่นำเข้ามา เพื่อใช้ผสมกับของไทยบ้างในการที่จะได้ผลิตผลตามความต้องการ เช่น ทางการแพทย์มีความต้องการสาร THC และ CBD ตามสูตรประมาณ1ต่อ1 แต่กัญชาพันธุ์ไทย มี THC สูง ดังนั้นเราอาจต้องนำเข้าบางสายพันธุ์เพื่อนำมาผสม เช่นเดียวกับการสกัดที่เรามีความพร้อม เพราะเรามีเทคโนโลยีในเรื่องการปลูกอยู่แล้ว และกำลังเร่งทำการสั่งเครื่องสกัด โดยทำคู่ขนานกับการปลูกเลย เช่นเดียวกับโรงเรือนปลูกกัญชาเราก็มีการพัฒนาคู่ขนานไปเลย หากของกลางกัญชาล็อตใดได้คุณภาพก็พร้อมนำเข้าสู่กระบวนการสกัดได้เลย

เมื่อถามว่าอภ.ได้มีการทำหนังสือไปสอบถามกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้วหรือยังว่าจะไม่อนุญาตให้ต่างชาติจดสิทธิบัตรกัญชา นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า อภ.ได้ส่งหนังสือไปสอบถามกรมทรัพย์สินทางปัญญาตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อถามถึงความชัดเจนและแนวทางปฏิบัติของการที่จะพัฒนาเรื่องสารสกัดจากกัญชา ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ คาดว่าคงเป็นไปตามกระบวนการ แต่ขอให้มั่นใจว่าเราเอาจริงเอาจัง กับการสกัดน้ำมันกัญชา เพราะถือเป็นนโยบายและความหวังถือเป็นวาระแห่งชาติ

นพ.วิฑูรย์ กล่าวต่อว่า จากของกลางที่ได้มาล็อตแรกมีปัญหาปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ซึ่งอภ.ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยก่อนถึงผู้ป่วย เบื้องต้นได้ประสานป.ป.ส.กับอย.เพื่อขอของกลางล็อตใหม่แต่รอบนี้จะตรวจก่อนว่ามีการปนเปื้อนหรือไม่ หากล็อตไหนไม่มีการปนเปื้อนก็จะเร่งนำมาสกัด แต่ขณะเดียวกันอภ.จะต้องเร่งพึ่งพาตัวเองให้เร็วที่สุด คือ เร่งพัฒนาสายพันธุ์กัญชาคู่ขนานไปกับการปลูกกัญชาเอง โดยจะมีการนำเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศที่พัฒนามาแล้วส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นสายพันธุ์ของไทย ปลูกคู่ขนานกันและเร่งทำการสกัดโดยวางแผนใช้พื้นที่โรงงานที่รังสิต โดยขณะนี้พยายามเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้ทันเวลา แต่ต้องควบคู่กับความถูกต้องตามกฎหมายด้วย เพื่อประกันว่าจะได้มียาตามความคาดหวังของสังคมออกมาให้ทันเวลา

Advertisement

“เรามีการหาพื้นที่โรงเรือนในการปลูกกัญชาแห่งใหม่ แต่ยังต้องมีกระบวนการที่เป็นไปตามระเบียบให้ทันเวลา ซึ่งทีมงานมีการหารือกันทุกวัน เพื่อนำไปสู่การจัดการให้ทันเวลา ส่วนแหล่งปลูก เบื้องต้นจะปลูกที่โรงงานเภสัชกรรมที่รังสิตคลอง 10 เป็นอาคารที่อยู่บนดาดฟ้า และได้ประสานขออนุญาตอย.ให้ไปทำการตรวจความพร้อม ซึ่งควบรวมไปถึงโรงงานสกัด นับได้ว่าจะเป็นรูปแบบที่ครบวงจร ทั้งทำการวิจัยและพัฒนาได้เลย เราอยากให้ผู้ป่วยได้ใช้สารสกัดกัญชาตามแผนเดิม คาดว่าจะลงมือปลูกคือได้ ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.2562 โดยจะเร่งรัดการปลูกให้ได้ผลผลิตภายใน 3-4 เดือน แต่ระหว่างที่ยังไม่ได้ปลูกเเราก็จะพยายามหาของกลางที่ไม่มีสารปนเปื้อนมาทำการสกัด โดยทำงานร่วมกับป.ป.ส.และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แต่จะเน้นเรื่องผลิตภัณฑ์ต้องมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเป็นหลัก” ผู้อำนวยการ อภ. กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image