สนช.อนุมัติไทยลงสัตยาบันอนุสัญญา C188 “บิ๊กอู๋” ยันไม่กระทบประมงพื้นบ้าน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายเกรม บักเลย์ ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ประจำประเทศไทย กัมพูชา และลาว นายหลุยส์ แพรทส์ หัวหน้าหน่วยการต่างประเทศ สหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) แถลงข่าวการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 หรือ C 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ.2550 ภายหลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฉบับที่ 188

พล.ต.อ.อดุลย์ แถลงว่า ล่าสุด สนช.ได้ลงมติเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฉบับที่ 188 โดยไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน และในภูมิภาคเอเชีย ที่จะให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฉบับดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปทั่วโลกว่า ณ วันนี้ไทยมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐาน การคุ้มครองดูแลแรงงานในภาคประมงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ดียิ่งขึ้นเทียบเท่ามาตรฐานสากล ซึ่งจะทำให้ภาคประมงของไทยได้รับการยอมรับ

พล.ต.อ.อดุลย์ แถลงว่า ภาพลักษณ์ที่ดีนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงไทยในขณะนี้ รวมถึงจะส่งผลต่อภาพรวมด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศในสินค้าอาหารทะเลของไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกเฉลี่ยปีละ 2 แสนล้านบาท

Advertisement

“ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ กระทรวงแรงงานได้รับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายทั้งนายจ้าง
ลูกจ้าง ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แล้วมาหลายรอบ และได้ยกร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แรงงานประมง โดยมีเนื้อหาที่สะท้อนข้อเสนอของทุกภาคส่วน และกระทรวงแรงงานได้มีการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งกับแรงงาน นายจ้าง และภาพลักษณ์ของภาคประมงไทย และสินค้าประมงไทยโดยรวม” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวและว่า สำหรับการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้ คาดว่าจะเริ่มได้ประมาณกลางปี 2562

พล.ต.อ.อดุลย์ แถลงย้ำว่า ยืนยันว่าการลงสัตยาบันนี้ จะไม่กระทบต่อกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน เนื่องจากจะใช้บังคับเฉพาะกับกลุ่มเรือประมงพาณิชย์ของไทยที่มีขนาด 30 ตันกรอสส์ขึ้นไป ที่มีประมาณ 5,000 ลำเศษ ลูกเรือประมาณ 30,000 คน สำหรับเรื่องโครงสร้างเรือจะใช้บังคับเฉพาะกับเรือประมงพาณิชย์ที่เป็นเรือต่อใหม่ที่มีขนาด 300 ตันกรอสส์ขึ้นไป และขนาดความยาวตลอดลำเรือ 26.5 เมตรขึ้นไป เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเรือที่ทำประมงนอกน่านน้ำไทย และหลายเรื่องไม่ได้เร่งให้เจ้าของเรือต้องดำเนินการในทันทีทันใด แต่จะทำแบบค่อยเป็นค่อยไปในทางปฏิบัติ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นจะเกี่ยวข้องกับการดูแลลูกจ้าง สภาพการจ้าง รวมทั้งคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลูกจ้างทั้งคนงานไทยและคนงานต่างด้าวในภาคประมงไทยทั้งหมด

“การให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ 188 ไม่ได้สร้างภาระเพิ่มเติมต่อชาวประมง อย่างที่ในอดีตเคยมีบางท่านได้เคยแสดงความห่วงกังวลแต่อย่างใด เนื่องด้วยปัจจุบันประเทศไทยมีการบังคับใช้กฎหมายสอดคล้องกับข้อกำหนดของอนุสัญญา คิดเป็นร้อยละ 80 ได้แก่ กฎหมายที่มีอยู่ของกระทรวงแรงงาน กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการแพทย์ อาทิเช่น การกำหนดอายุขั้นต่ำของลูกเรือ การตรวจสุขภาพ อัตรากำลัง ชั่วโมงพัก รายชื่อลูกเรือ สัญญาจ้างงาน การส่งแรงงานกลับจากท่าเรือในต่างประเทศ ไม่เก็บค่าบริการจัดหางานจากแรงงาน การจ่ายเงิน ที่พักอาศัยเหมาะสม อาหารน้ำดื่ม การดูแลรักษาการเจ็บป่วย ความปลอดภัย สุขภาพอนามัย การประกันสังคม เงินทดแทนการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากการทำงาน เป็นต้น หลายเรื่องที่ระบุในอนุสัญญา ฉบับที่ 188 จึงเป็นมาตรการที่ประเทศไทยดำเนินการภายใต้หน่วยงานดังกล่าวอยู่แล้ว” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าว

Advertisement

นอกจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แถลงต่อไปว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในกิจการประมงทะเลจำนวนกว่า 53,000 คน และเรื่องนี้รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และกระทรวงแรงงานเร่งดำเนินการ 3 มาตรการ ได้แก่ 1.ต่ออายุแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในภาคประมงตามมาตรา 83 พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วออกไปอีก 2 ปี จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ที่สำนักงานจัดหางาน 22 จังหวัดชายทะเล ซึ่งขณะนี้มีนายจ้างขึ้นทะเบียน 757 ราย แจ้งความต้องการแรงงาน 19,334 คน 2.นำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และ 3.เปิดโอกาสให้แรงงานอื่นที่ยังอยู่ในประเทศสามารถมาขอขึ้นทะเบียนทำงานในกิจการประมงได้เนื่องจากอาชีพ ประมงมักจะเป็นอาชีพสุดท้ายที่แรงงานจะเลือกทำ

“การรับรองอนุสัญญา ฉบับที่ 188 จะเป็นการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจน อันจะทำให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้างในภาคประมงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพการทำงานและการจ้างงานในภาคประมงที่ตรงกัน ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้สินค้าไทยได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกว่ามีธรรมาภิบาล และผลิตสินค้าที่ไม่มีการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และไม่มีการค้ามนุษย์ ซึ่งในระยะยาวผู้ประกอบการจะสามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น ทั้งนี้ ผมจะเดินทางไปให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฉบับนี้ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คาดว่าภายในปลายเดือนมกราคมนี้” พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าว

ด้านนายเกรม บักเลย์ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ 13 ที่จะลงสัตยาบันอนุสัญญา ฉบับที่ 188 ซึ่งการลงสัตยาบันนี้แสดงให้เห็นว่าตลอดเวลา 18 เดือน รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะดูแลและช่วยเหลือแรงงานในภาคประมงเป็นอย่างดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image