‘หมอจุฬาฯ’ โพสต์อีก ถึงเวลาที่รัฐ-คนไทยต้องเลือกเส้นทางใช้ ‘กัญชา’

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการพิจารณาการนำกัญชาไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” หลังเข้าประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม มีใจความสรุปว่า การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด ที่รัฐสภา ในวันที่ 12 ธันวาคม นั้น มีประเด็นที่สำคัญร้อนแรง และถึงเวลาที่รัฐบาลและคนไทยต้องเลือกแนวทางการใช้กัญชา ทั้งนี้ข้อความระบุว่า

“การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดที่รัฐสภาในวันที่ 12 ธันวาคมนั้น ประเด็นสำคัญที่ร้อนแรงเข้มข้น
1- จะมีกระบวนการอย่างไรที่ทำให้คนป่วยซึ่งในขณะนี้มีเป็นจำนวนมากที่รักษาตัวเองอยู่แล้วในกลุ่มใต้ดินและคนป่วยอื่นๆที่จะสามารถเข้าถึงกัญชาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และโทษซึ่งยังมีความรุนแรงโดยขึ้นกับจำนวนของกัญชามากกว่า 10 กิโลกรัมหรือน้อยกว่าและสารสกัดซึ่งมากกว่า 1 กิโลกรัมหรือน้อยกว่าโดยมีโทษทั้งคุกและปรับ

เรื่องเบื้องต้นรอการตรวจสอบคือ สามารถให้มีการรวมกลุ่มชุมชนทั้งในรูปของสหกรณ์หรือทางผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่เป็นวิสาหกิจชุมชนสามารถยื่นเข้าขออนุญาตได้เช่นต่อกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกทั้งนี้โดยต้องได้รับการวินิจฉัยภาวะหรือโรคนั้นๆจากแพทย์แผนปัจจุบันเสียก่อน
(ยังเป็นเรื่องอยู่ในการร่าง)

2- เพื่อเป็นการขัดขวางการเข้ายึดกัญชาจากบริษัทยักษ์ใหญ่เอกชนและข้ามชาติทั้งนี้โดยกำหนดให้มีระยะเวลาห้าปีนับตั้งแต่วันที่ประชุมบัญญัตินี้ใช้บังคับ

Advertisement

ในประเด็นนี้จะขึ้นอยู่กับกรรมการผู้ให้อนุญาตซึ่งมีองค์ประกอบซึ่งต้องผดุงความยุติธรรม ความเสมอภาคและปกป้องประชาชนคนไทยทั้งผู้ป่วยและผู้ทำเกษตรกรและธุรกิจรายย่อย
ไม่เช่นนั้นกิจการทั้งหมดก็จะตกอยู่ในกำมือของบริษัทประชารัฐอย่างที่เห็นในระยะเวลาที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงสี่ถึงห้าปีหลัง

และเป็นที่น่าตระหนกเพราะบริษัทมอนซานโต้และไบเออร์ที่เป็นมาเฟียใหญ่ในการผลิตสารเคมีพิษส่งออกขายทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยซึ่งมีบริษัทในประเทศไทยร่วมกับกระทรวงทบวงกรมของรัฐส่งเสริมการใช้สารเคมีพิษเหล่านี้จนมีคนเสียชีวิตปีละหลาย 100 คนเข้าโรงพยาบาลปีละหลาย 1000 คนถูกตัดขาเพราะหนังและเนื้อเน่าจากการย่ำน้ำที่มีสารเคมีเหล่านี้

หลังจากที่ถูกฟ้องร้องจนต้องชดใช้ให้แก่ผู้ที่เป็นมะเร็งในประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนี้ ได้เบนเป้าที่จะเข้ายึดธุรกิจกัญชาทั้งนี้ในประเทศไทยแน่นอนก็คือบริษัทเดิมๆที่ค้าสารพิษเหล่านี้ และแน่นอนก็คือกระทรวงทบวงกรมที่ร่วมหัวกันในเรื่องสารพิษและจะปรับเปลี่ยนมาเป็นพืชกัญชา
ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าพืชกัญชาและสารสกัดกัญชาต้องปลอดจากโลหะหนักและสารพิษฆ่าหญ้าฆ่าแมลง

ดังนั้นก็อาจจะได้เห็นท่าทีใหม่ของกรมวิชาการกระทรวงเหล่านี้ ในการทำให้แผ่นดินบริสุทธิ์สำหรับกัญชา
แต่แน่นอนกัญชาที่ได้นั้นผลประโยชน์ยังตกเป็นของบริษัทเหล่านี้โดยเกษตรกรยังคงเป็นคนใช้เป็นลูกจ้าง
เพราะฉะนั้นคนไทยทุกคนต้องลูกขึ้นมาต่อต้านการผูกขาดในลักษณะเช่นนี้และต่อต้านกระทรวงทบวงกรมของรัฐที่ขายชาติ

3- ประเด็นของการให้สิทธิบัตรกัญชาของกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ซึ่งอาจจะมีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยหรือไม่ตามการสืบค้นหลักฐานของมหาวิทยาลัยรังสิตและของไบโอไทย
จากข้อมูลในที่ประชุมได้พบว่ายังมีคำขอถึง 30 ชิ้นซึ่งอยู่ในกระบวนการต่างๆและจ่อคิวที่จะได้รับสิทธิบัตรและเป็นที่น่าแปลกใจทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ไม่สามารถยื่นคำร้องและสามารถตีตกได้ทุกกระบวนความโดยกรมทรัพย์สิน ทางปัญญาซึ่งได้เริ่มทำแล้วได้สองสามคำร้องเพียงสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่ทำไมคำร้องอื่นๆซึ่งอยู่ในลักษณะเดียวกันยังคงปล่อยให้คาราคาซังและไม่มีคำอธิบายต่อสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติและไม่มีคำอธิบายต่อสังคม ต่อคนไทยที่จับตาดูอยู่ทั้งประเทศ

ในประเด็นข้อสองและข้อสามนี้ส่อให้เห็นเจตนาชัดเจนของการที่จะทำให้คนไทยไม่สามารถดำเนินกิจการหรือกิจกรรมใดๆได้เองในการใช้และการพัฒนากัญชานอกจากนั้นยังลามปามไปถึงการที่คนป่วยจะต้องใช้กัญชาซึ่งผลิตมาจากเมืองนอกและราคาประมาณ 30,000 ถึง 40,000 บาทต่อคนต่อเดือนเช่นที่ใช้ในคนไข้โรคลมชักเป็นต้น

4- สำนักอาหารและยาและกรรมการยาเสพติดต้องเปลี่ยนกระบวนการความคิดใหม่ทั้งหมดในเรื่องของการดูกัญชาให้เป็นเรื่องพืชธรรมชาติที่มีการใช้มานานเป็น 100 ปีจากตำรวจปรับแพทย์แผนไทยและและต้องยอมรับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ทางสมองและข้อมูลจากติดตามคนที่ใช้กัญชาทั้งในประเทศไทยเองและต่างประเทศและมีรายงานพิสูจน์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ว่าการติดนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดและถึงติดก็หยุดง่าย

อันตรายที่ว่ามีนั้น เรื่องเกี่ยวกับโง่เกี่ยวกับเป็นบ้าเกี่ยวกับเอะอะอาละวาด นี่ส่วนที่อธิบายจากกัญชาโดยเกี่ยวข้องกับรหัสพันธุกรรมของคนนั้นๆแต่ทั้งนี้สามารถควบคุมมิให้เกิดได้โดยปริมาณที่ใช้และส่วนประกอบที่ออกฤทธิ์ที่ใช้

การเปลี่ยนวิธีการคิดของหน่วยงานเหล่านี้เป็นการตัดสินชะตาของคนป่วยคนไทยว่าจะลงใต้ดินหมดหรือไม่เพราะสามารถควบคุมกันเองได้และถ้าผนึกกำลังใต้ดินทั้งหมดทั่วประเทศการที่คนป่วยจะถูกหลอกจากหมอปลอม หมอจริงที่เลวร้ายก็จะหมดไป

ส่วนการควบคุมคุณภาพนั้นนักวิทยาศาสตร์ใต้ดินนั้นมีมากอยู่แล้วเครื่องมือก็หาได้ไม่ยาก

กล่าวโดยสรุปคือกระทรวงทบวงกรมของรัฐและรัฐบาลจะกำหนดทางเลือกให้เกิดใต้ดินผนึกกำลังกันเอง หรืออยากจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยอ้างว่าทำเพื่อสุขภาพของประชาชนเพื่อความเสมอภาคแต่คนป่วยเข้าไม่ถึงและหาเหตุให้ถูกจับเข้าคุก จะเอาเช่นนั้นหรือ

ถึงเวลาที่กระทรวงทบวงกรมของรัฐและคนไทยจะเลือกแล้ว

เพิ่มเติมจากท่านวิชา มหาคุณ
ขอฝากเรื่องการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยและแพทย์ผู้รักษาในระหว่างรอการอนุญาตจากทางการ ที่จะไม่ต้องรับผิดในเวลาดังกล่าว รวมทั้งเรื่องโทษที่ควรยกว้นให้สำหรับผู้ป่วยและแพทย์ผู้รักษาอยู่ในระหว่ากฎหมายนี้บังคับ หากนำกัญชามาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับยกเว้นโทษ คล้ายคลึงกับพรบ.อาวุธปืน ที่เปิดโอกาสให้จดทะเบียน คนที่นำปืนเถื่อนมาขึ้นทะเบียน กฎหมายก็เว้นโทษให้เช่นกัน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image