‘สารี’ โพสต์ชวนผู้บริโภคจับตามติ ครม.พิจารณาค่ายาและค่ารักษาใน รพ.เอกชน

วันที่ 21 มกราคม น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้โพสต์ข้อความในเพจ Saree Aongsomwang เรียกร้องให้สังคมจับตามติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 มกราคมนี้ ว่าจะเห็นชอบมติคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เกี่ยวกับค่ายาและค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน อย่างไร พร้อมทั้งติดแอชแท็ก #สภาองค์กรผู้บริโภคสภาเดียว #สารีตอบคำถามผู้สื่อข่าว

ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวระบุว่า “ทำไมต้องกำกับค่ายาและค่ารักษาพยาบาล รพ.เอกชน

1.ค่ายา วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ควรอยู่ภายใต้ price controls มั้ย?

ตอบ: ควรต้องอยู่ภายใต้การควบคุมราคา โดยยาได้ถูกประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมภายใต้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มาเป็นเวลาหลายปี แต่ที่ผ่านมามีการกำกับเพียงห้ามขายเกินสติกเกอร์ไพรซ์ (Sticker Price) แต่รงพยาบาลจะติดราคาเท่าไหร่ก็ได้ มาตรการสติกเกอร์ไม่สามารถกำกับราคายาได้ เพราะจากข้อมูลของคณะแพทย์รามาธิบดีที่มีการทำงานวิจัย พบว่า มีราคายาของโรงพยาบาลเอกชนที่สูงมากกว่าโรงพยาบาลรัฐถึง 70-400 เท่า
และมติกกร.ที่ผ่านมา ให้ ควบคุมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย เช่น ข้อเข่าเทียม ลิ้นหัวใจเทียม เป็นต้น

Advertisement

2. ราคาค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ในเมืองไทยขณะนี้ สมเหตุสมผลหรือป่าว??

ตอบ:ไม่สมเหตุผล ราคาแพงเกินจริง ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค ดังที่ได้พูดไปแล้วค่ายาในโรงพยาบาลเอกชน สูงกว่ารพ.รัฐ 70-400 เท่า ทำให้เกิดการรักษาที่เกินความจำเป็นและราคาแพง เช่น มีดปอกผลไม้บาดฝ่ามือซ้ายขนาด 1 เซ็นติเมตร นำเข้าห้องผ่าตัดหมดค่าใช้จ่ายสูงถึง 60,821 บาท นิ่วในถึงน้ำดี ถ้ามีการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกราคาสูงถึง 600,000 บาท ขณะที่ไปรักษารพ.ของรัฐเสียค่าใช้จ่ายเพียง 8,000 บาท หรือผ่าตัดไส้ติ่งรพ.เอกชน ราคา 140,000 บาท ขณะที่รพ.รัฐไม่เกิน 10,000 บาท ทำให้เป็นปัญหาการฟ้องคดีคนไข้กรณีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เช่น ผ่าตัดหมอนรองกระดูก ตกลงราคา 430,000 บาท แต่เกิดการแพ้ยา ทำให้ต้องจ่ายเพิ่มอีก 230,000 บาท เมื่อไม่มีเงินจ่าย แทนที่จะมีการเจรจาต่อรองกับเลือกฟ้องคดี
ทำให้แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ ต้องตกเป็นเครื่องมือของการทำกำไร ทำยอด ไม่ต่างจากนักการตลาดในธุรกิจทั่วไป

3. การที่จะเอาไปอยู่ภายใต้ price controls จะทำให้สวนทางกับนโยบายรัฐในการที่จะ promote Thailand as Asean medial hub????

ตอบ:กลุ่มองค์กรผู้บริโภคไม่ได้สนับสนุน medical Hub เพราะบุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด หากส่งเสริมธุรกิจสุขภาพมาก ทำให้เกิดสมองไหลของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญไหลไปภาคเอกชน ค่ารักษาของระบบหลักประกันสุขภาพของประเ?สเพิ่มสูงมากขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่ถึงแม้จะมีการทำmedical hub ก็ต้องกำกับค่ารักษาพยาบาล เช่น ประเทศสิงคโปร์เป็นตัวอย่างของประเทศที่ให้ความสำคัญกับ medical Hub มากแต่ก็มีการควบคุมราคา ทั้งที่ค่ารักษาพยาบาลของรพ.รัฐและเอกชนห่างกันเพียง 2.5 เท่า ปัจจุบันสิงคโปร์มีการจัดทำ Medical Fee Benchmark Guideline หากรพ.เอกชนคิดแพงเกินแนวทางต้องมีเหตุผลสมควร หากไม่มีเหตุผลต้องคืนเงินให้ผู้บริโภค ซึ่งประเทศไทย มีเรื่องร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุขและองค์กรผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย แต่แก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่มีหลักเกณฑ์ หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น และประเทศแคนาดา มีค่ารักษาพยาบาลที่ใกล้เคียงกันหรือเกือบเท่ากันระหว่างรพ.ของรัฐและเอกชน และโรงพยาบาลจำนวนมากเกือบทั่วโลกแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ยอมให้ธุรกิจโรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์

4.คิดว่าจะมีผลกระทบกับการดำเนินการ และแผนพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมป่าว???

ตอบ:การควบคุมค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ทำให้โรงพยาบาลขาดทุน มีตัวอย่างโรงพยาบาลเอกชนที่กำไรในระดับ 5-6 % ก็สามารถสร้างตึกใหม่ได้ การกำกับค่ารักษาพยาบาลอาจจะทำให้ลดกำไรลงไปบ้าง หากไปติดตามกำไรสุทธิของโรงพยาบาลที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์บางแห่งปัจจุบันมีกำไรสุทธิสูงถึง ร้อยละ 33.7%.ในไตรมาศที่สามของปี 2561 ซึ่งสูงเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ในประเทศ และไม่มีรพ.เอกชนไหนต้องการให้กำกับค่ารักษษพยาบาลแต่เป็นภารกิจของรัฐที่ต้องทำให้เกิดความเป็ธรรมต่อผู้บริโภค และระบบสุขภาพของประเทศ

5.มีทางออกที่เป็นที่พอใจทุกฝ่าย (Any approach to win-win resolution???)

ตอบ:หากโรงพยาบาลเอกชนคิดราคาที่เป็นธรรม ไม่แพงจนเกินไป จำนวนผู้ใช้บริการน่าจะมากขึ้น และอาจจะเท่ากับกำไรที่ผ่านมาก็ได้ แต่มีจำนวนผู้ไปใช้บริการมากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image