อภ.พร้อมลุย! คอมเพล็กซ์ ‘กัญชา’ ทางการแพทย์ “หมอโสภณ” ลั่นถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องทำให้ถูกกม. หากไม่ทำผู้ป่วยขวนขวายหาใช้เอง เสี่ยงรับของปนเปื้อน ไม่มีคุณภาพ ก่ออันตราย หวั่นหากกม.ไม่ผ่าน เป็นเรื่องน่าเสียดาย
ตามที่ หนังสือพิมพ์มติชน ได้มีการติดตามและนำเสนอเกี่ยวกับร่างกฎหมายคลายล็อกกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ รวมไปถึงประเด็นคำขอสิทธิบัตรกัญชาจากต่างชาติที่ภาคประชาสังคมเรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญายกเลิกคำขอเหล่านี้ เพราะขัดกฎหมายสิทธิบัตร กระทั่งมีการยกเลิกในที่สุด
ขณะเดียวกันล่าสุดคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษมีมติผ่านร่างกฎหมายลูกนิรโทษผู้ครอบครองกัญชา 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนักวิจัย องค์กร มหาวิทยาลัย และผู้ประกอบวิชาชีพ แพทย์แผนไทย ฯลฯ กลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มบุคคลอื่นๆ ต้องมาแจ้งการครอบครองกับรัฐภายใน 90 วันจะไม่ต้องรับโทษ โดยล่าสุดสภาเกษตรกรมีการหารือร่วมกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ว่าจะประสานชมรมใต้ดินในการรวมกลุ่มกันเพื่อแจ้งการครอบครอง และให้เป็นไปตามร่างกฎหมายใหม่ที่รอบังคับใช้ พร้อมทั้งฝั่งองค์การเภสัชกรรม(อภ.) และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้เตรียมพร้อมในการปลูก ผลิตกัญชาทางการแพทย์แล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า อภ.มีความพร้อมและเตรียมแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์มาตลอด อย่างในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ก็จะมีการปลูกกัญชาครั้งแรกในพื้นที่ที่ทาง อภ.เตรียมไว้ประมาณ 100 ตารางเมตร ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ภายในโรงงานผลิตยารังสิต จ.ปทุมธานี เพื่อผลิตออกมาได้น้ำมันกัญชา 2,500 ขวด หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่เฟสที่ 2 ซึ่งเป็นสเกลใหญ่ขึ้นในการทำระดับกึ่งอุตสาหกรรม ใช้พื้นที่ 1,000 ตารางเมตรภายในบริเวณโรงงานผลิตยารังสิต จ.ปทุมธานีเช่นกัน โดยจะมีอาคารเฉพาะที่มีการรีโนเวทไว้ โดยชั้นดาดฟ้าจะเป็นพื้นที่ปลูกแบบกรีนเฮ้าส์ ส่วนชั้นล่างสุดเป็นพื้นที่สำหรับการสกัดสารจากกัญชาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเฟสที่ 2 ใช้งบประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งเฟสนี้ไม่ใช่แค่เพิ่มพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเฟสที่อภ.มุ่งวิจัยพัฒนาสายพันธุ์กัญชาด้วย
“ส่วนเฟสที่ 3 จะใช้งบประมาณสูงขึ้นราว 3 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นระดับอุตสาหกรรม โดยใช้พื้นที่ของ อภ.เอง บริเวณอำเภอหนองใหญ่ จ.ชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 1,500 ไร่ โดยจะทำในลักษณะคอมเพล็กซ์ แต่จะไม่ใช่แค่กัญชาเท่านั้น จะมีสมุนไพรตัวอื่นๆ ด้วย อาทิ ขมิ้นชัน เรียกว่าเป็นแหล่งรวมสมุนไพร แต่กัญชาจะถูกกันออกไป แบ่งเป็นสัดส่วนเพื่อความปลอดภัยในการควบคุม แต่ในเฟสสุดท้ายนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินความเป็นไปได้ โดยจะต้องมีการหารือกับทางคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม(บอร์ด อภ.) อีก คาดว่า จะชัดเจนว่าจะเดินหน้าเฟส 3 หรือไม่ในปี 2562 นี้ ” นพ.โสภณ กล่าว
ข่าวรอบด้าน กับ Line@มติชนนิวส์รูม คลิกเป็นเพื่อนกัน ได้ที่นี่
ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ว่า เตรียมพร้อมขนาดนี้สุดท้ายหากร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่บรรจุร่างพ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ที่คลายล็อกกัญชาใช้ทางการแพทย์ ทุกอย่างจะจบ นพ.โสภณ กล่าวว่า ถ้าเป็นจริง ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะไม่ใช่แค่ อภ. แต่ยังมีหน่วยงานวิจัยอื่นๆก็เตรียมพร้อม แต่ทางอภ.ก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป เนื่องจากทั้งเฟส 1 และเฟส 2 ก็เป็นช่วงของการปลูกการวิจัย เพียงแต่หากกฎหมายไม่คลายล็อกจริงๆ ก็จะไม่สามารถใช้วิจัยในมนุษย์ได้ ก็จะเป็นแค่การศึกษาวิจัยกัญชาเท่านั้น แต่ก็ยังหวังว่า จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะงานวิจัยในต่างประเทศ รวมทั้งหลายประเทศก็มีการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์อยู่แล้ว และด้วยเหตุผลนี้จึงต้องมีการแก้กฎหมายในไทยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้
“จริงๆแล้วการแก้กฎหมายเพื่อนำกัญชามาใช้ประโยชน์นั้น ในส่วนประเทศไทยไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆที่ให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพราะ 1. แรงกดดันจากประชาชนและสังคม เพราะติดตามข่าวสารและรับรู้ประโยชน์ ว่าใช้รักษาโรคได้ 2. มีคนไข้ใช้สารสกัดจากกัญชาในการรักษาโรคอยู่แล้วในประเทศไทยทั้งๆที่ผิดกฎหมาย อาจมีจำนวนหลายพันคนหรือถึงหมื่นคน 3. สารสกัดกัญชาที่ใช้กันอยู่ขณะนี้ อาจไม่ได้คุณภาพ มีการปนเปื้อนโลหะหนัก สารเคมี เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย และ 4. ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงมีนโยบาย. ให้พัฒนานวัตกรรมในการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เราตามหลังเขาเป็นสิบปี ประเทศไทยจึงมีนโยบายและแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์และศึกษาวิจัยได้ ณ จุดนี้จึงถืงเวลาแล้วที่เราต้องเดินหน้าคลายล็อกกัญชาเพื่อประโยชน์ผู้ป่วย” ประธานบอร์ด อภ.กล่าว