“หมอมนูญ” ย้ำอีก “น้ำมันกัญชา” ควรใช้กับผู้ป่วยที่หมดทางรักษาเท่านั้น

2.คนไข้ทิ้งยาที่รักษาประจำ หันมาใช้น้ำมันกัญชา หวังผลจะรักษาโรคต่างๆเช่นเบาหวาน โรคความดันสูง โรคตับแข็ง โรคไตเสื่อม โรคหลอดเลือดตีบ โรคเอดส์ให้หาย แทนที่อาการดีขึ้นกลับแย่ลงเพราะหยุดยาที่ใช้ประจำ ทำให้น้ำตาล ความดัน สูงขึ้น ค่าตับ ค่าไตเสื่อมลง เชื้อเอชไอวีดื้อยา ตามมาด้วยโรคแทรกซ้อนทำให้รักษายากขึ้น และสิ้นเปลืองค่ารักษาโดยไม่จำเป็น
บางคนใช้ทั้งยาที่กินประจำ ร่วมกับนำ้มันกัญชา ทำให้ได้ได้รับผลข้างเคียงจากปฏิกิริยาระหว่างนำ้มันกัญชากับยาที่ใช้ประจำ อาจเพิ่มหรือลดระดับของยาที่กินประจำแล้วแต่ชนิดของยาโดยที่คนกินน้ำมันกัญชาไม่ทราบ

3.ได้รับผลข้างเคียงระยะยาวจากการกินสารพิษปนเปื้อนน้ำมันกัญชาจากยาฆ่าแมลงและโลหะหนักเช่นแคดเมียม เพราะการปลูกต้นกัญชาในปัจจุบันยังไม่มีการควบคุมสภาพการปลูกให้ได้มาตรฐาน

4.มีความเสี่ยงระยะยาวที่จะเกิดโรคปอดอักเสบจากการสำลักน้ำมันลงปอด หากใช้หยดใต้ลิ้นในผู้สูงอายุและคนที่มีโรคทางสมองมีปัญหาทางการกลืน

5.มีอุบัติเหตุทางจราจร และอุบัติเหตุจากการทำงานกับเครื่องจักรกลเพิ่มขึ้น เนื่องจากสาร THC ในน้ำมันกัญชามีผลต่อสมองทำให้ไม่ตื่นตัวเต็มที่ ตัดสินใจผิดพลาด

6.มีคนป่วยเป็นโรคจิตเวชเพิ่มขึ้น เพราะสาร THC เป็นสารมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท กระตุ้นคนที่มีโรคทางจิตอยู่แล้ว ให้ป่วยเป็นโรคจิตเวชมากขึ้น และจำนวนคนติดกัญชาเพราะติดสาร THC ต้องเข้ารับการบำบัดกัญชาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น

ถ้าเราจะใช้น้ำมันกัญชาในทางการแพทย์ เราต้องควบคุม เลือกปลูกต้นกัญชาสายพันธุ์ที่สกัด CBD ได้มาก และปราศจากสารพิษ สร้างโรงงานที่มีนวัตกรรมมาตรฐานสกัด CBD ได้เกือบบริสุทธิ์ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ราคาของสาร CBD ที่สกัดได้จะแพงมากเช่นกัน

การเปิดโอกาสให้คนไทยได้ใช้น้ำมันกัญชาซึ่งสกัดแบบหยาบๆ ในทางการแพทย์ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย ในขณะนี้เราควรจำกัดให้ใช้น้ำมันกัญชาเฉพาะคนไข้กลุ่มที่แพทย์เห็นว่าหมดทางเลือกในการใช้ยาแผนปัจจุบันแล้วเท่านั้น”