20 ส.ค. “สูบบุหรี่ในบ้าน” ผิด กม.ความรุนแรงในครอบครัว ขึ้นศาลอาญา-สั่งบำบัด

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าว “บ้านปลอดบุหรี่ ลดความรุนแรงต่อสุขภาพ” ในงานประชุมวิชาการบุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ว่า สถานการณ์การบริโภคยาสูบในประเทศไทยช่วง 10 ปี มีแนวโน้มคงที่ ศจย.ศึกษาพบว่ามีครัวเรือนที่มีคนสูบบุหรี่ มากถึง 4,962,045 ครัวเรือน คนที่ไม่สูบบุหรี่จึงได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน โดยเฉลี่ยมากถึง 10,333,653 คน มีผลการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่มีสามีสูบบุหรี่ หรือผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 และ ร้อยละ 19 เด็กทารกที่มีผู้ปกครองสูบบุหรี่มีโอกาสเกิดภาวะไหลตายเพิ่มขึ้น 2 เท่า มีโอกาสเกิดหลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 และมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 39

ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์

“ศจย. คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี สำรวจปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไทยทั่วประเทศ ในปี 2561 พบมีครอบครัวที่ถูกสำรวจถึงร้อยละ 49 มีสมาชิกในครอบครัวสูบบุหรี่ และพบมีความสัมพันธ์กับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ” ศ.นพ.รณชัย กล่าว

ด้านนายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า การสูบบุหรี่ภายในบ้านจะสามารถเอาผิดตามกฎหมายได้ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562 ซึ่งได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม มีผลบังคับใช้วันที่ 20 สิงหาคมนี้ ซึ่งการสูบบุหรี่ในบ้านจะสามารถเอาผิดได้ในเรื่องของความรุนแรงในครอบครัว เนื่องจากคำนิยามของความรุนแรงในครอบครัวนั้น รวมถึงการทำอันตรายต่อสุขภาพด้วย

Advertisement

“หากได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ในบ้าน หรือพบเห็นผู้ที่ได้รับผลกระทบก็สามารถร้องไปศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว ที่มีอยู่ทุกจังหวัด หรือ พม.จังหวัดได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล และให้บุคลากรทางการแพทย์พิสูจน์ว่าได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากการสูบบุหรี่จริงหรือไม่ หากได้รับผลกระทบจริง หัวหน้าศูนย์ส่งเสริมฯ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยศาลสามารถสั่งให้ออกห่างจากคู่กรณี และให้ไปบำบัดรักษาปรับพฤติกรรมได้ ส่วนโทษความรุนแรงในครอบครัว จะใช้คดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาแทน ซึ่งโทษขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่ได้รับ เรียกว่า 1 คดี ส่งขึ้น 2 ศาล ก็จะทำให้เกิดความเกรงกลัวมากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่บุหรี่ แต่การได้รับผลกระทบจากยาเสพติดหรือสุราก็สามารถร้องเอาผิดได้” นายเลิศปัญญา กล่าว

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหิดล กล่าวว่า การสูบบุหรี่ในบ้านทำให้คนในบ้านได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มือสอง และเมื่อสารพิษตกค้างตามเสื้อผ้า ผนัง เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็จะได้รับสารพิษเหล่านี้ด้วย เรียกว่ารับควันบุหรี่มือสาม ดังนั้น ควันบุหรี่ถือเป็นมลพิษทางอากาศที่อันตรายที่สุดในบ้าน แม้ผู้ปกครองจะไม่ได้สูบบุหรี่ในบ้าน สูบในบ้านตอนไม่มีใครอยู่ หรือสูบนอกบ้านแล้วกลับเข้ามา ก็ยังคงมีสารพิษตกค้างอยู่ภายในบ้านได้

“จากการสำรวจศูนย์เด็กเล็กในกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 122 ครัวเรือน พบว่า มีผู้สูบบุหรี่อาศัยอยู่กับเด็ก ส่วนใหญ่บอกว่าเป็นการสูบบุหรี่นอกบ้าน จากการตรวจสารโคตินินในปัสสาวะของเด็ก พบปริมาณสารสูงถึง 2 นาโนกรัมต่อซีซี ถึงร้อยละ 16 แต่จากการให้เข้าบำบัดด้วยโปรแกรมเลิกบุหรี่ พบว่า 1 ใน 3 ประสบความสำเร็จในการลดเลิกสูบบุหรี่ ขณะที่การเก็บข้อมูลผู้ป่วยเด็กที่มาฉีดวัคซีนที่ รพ.รามาธิบดี จำนวน 75 ราย ที่มีประวัติมีคนในบ้านสูบบุหรี่ พบว่าร้อยละ 76 พบสารโคตินินในปัสสาวะของเด็ก ในจำนวนนี้ร้อยละ 43 มีค่าสูงเกิน 2 นาโนกรัมต่อซีซีถึง 2 เท่า โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการอาศัยเป็นยูนิทรวม เช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์ ทาวน์เฮาส์ และหากคนในบ้านสูบบุหรี่มากกว่า 20 มวน จะพบสารโคตินินในปัสสาวะเด็กมากกว่าเกือบ 2 เท่าเช่นกัน” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวและว่า มีข้อเสนอ 1.ครัวเรือนควรรับรู้เรื่องพิษภัยของบุหรี่ โดยเฉพาะเรื่องพิษมือสองมือสาม และพิษต่อเด็ก 2.ผู้ให้บริการ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข เมื่อตรวจสุขภาพเด็กหรือฉีดวัคซีน หากทราบประวัติของเด็กว่าคนในบ้านมีการสูบบุหรี่ ควรมีการดำเนินการให้คนในบ้านเข้ารับการบำบัด เพราะหากไม่ดำเนินการจะเข้าข่ายไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองเด็ก คือ การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม และ 3.การสูบบุหรี่ในพื้นที่ยูนิตรวม เช่น คอนโดฯ อพาร์ทเมนท์ ถือเป็นการทำร้ายผู้อื่น เพราะเป็นสถานที่ที่ใช้อากาศร่วมกัน จึงควรมีการห้ามไม่ให้มีการสูบบุหรี่ภายในห้อง หรือนิติบุคคลต้องประกาศให้ชัดตั้งแต่ต้นว่า โครงการนี้ห้ามสูบบุหรี่ในห้องหรือสูบได้ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อ

Advertisement

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image