เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาลในพื้นที่ประสบภัยแล้งว่า ได้รับรายงานว่าตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ส่วนใหญ่เกิดความเสียหายกับผลผลิตของเกษตรกร ส่วนสถานพยาบาลในสังกัด สธ.ไม่ได้รับความเสียหาย เพราะส่วนใหญ่มีการประเมินสถานการณ์ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดหาน้ำสำรองใช้ แต่มีที่ จ.ชัยภูมิ รายงานว่า หากภายในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ยังไม่มีฝนตก อาจจะกระทบกับน้ำที่จะนำมาผลิตประปาส่งโรงพยาบาลได้ เมื่อทราบเช่นนี้ก็ทำให้สามารถวางแผนบริหารจัดการได้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา
นพ.ประพนธ์กล่าวว่า ส่วนกรณี รพ.สุรินทร์ ขาดแคลนน้ำ นพ.สสจ.สุรินทร์ และผู้อำนวยการ รพ.สุรินทร์รายงานว่า มีการประเมินสถานการณ์แล้ว แต่ผิดพลาด และเกิดวิกฤตแบบเฉียบพลัน ทำให้ประสบปัญหา แต่ขณะนี้แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของ รพ.สุรินทร์ ที่พบว่าน้ำสะอาดสำรองของโรงพยาบาลสามารถใช้ได้เพียงวันเดียว ถือว่าน้อยเกินไป จึงได้ให้ทุกโรงพยาบาลทำแผนการสำรองน้ำใช้กันใหม่ อย่างน้อยต้องให้สามารถใช้ได้ประมาณ 3 วัน รวมถึงสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำบาดาลด้วย
ด้าน นพ.บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสำรวจน้ำทั่วไปในยามปกติพบว่า มีคุณภาพร้อยละ 50 แต่เนื่องจากปริมาณน้ำมาก จึงไม่มีปัญหาเรื่องของเชื้อโรค แต่ถ้ามีปัญหาภัยแล้ง น้ำน้อย มีโอกาสที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายได้เร็ว ดังนั้น จึงขอให้สถานพยาบาลเข้มงวดเรื่องความสะอาดของภาชนะที่เก็บสำรองน้ำ และการเปลี่ยนถ่ายน้ำต่างๆ ต้องสะอาด มีการเติมคลอรีนเพิ่มขึ้น ปริมาณ 0.5 พีพีเอ็ม (ppm.) ต่อน้ำ 1 พันลิตร โดยเฉพาะน้ำบาดาล ที่สำคัญคือต้องให้ความรู้กับประชาชนในด้านสุขอนามัย คือกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสถานการณ์โรคที่มากับภัยแล้ง เช่น อาหารเป็นพิษ ท้องร่วง ท้องเสีย ฯลฯ ไม่พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากปกติ ทั้งนี้ วันที่ 11 สิงหาคมนี้ กรมอนามัยจะส่งเจ้าหน้าที่ศูนย์อนามัยลงไปที่ รพ.สุรินทร์ เพื่อหารือและให้คำแนะนำเรื่องบริหารจัดการน้ำที่มีคุณภาพเบื้องต้น การใช้น้ำสะอาดสำหรับผู้ป่วยควรสำรองไว้เฉลี่ย 800-1,000 ลิตรต่อผู้ป่วย 1 เตียง
