ปี’63 สปสช.ขยายสิทธิบัตรทอง ประเดิม “ผู้ป่วย 24 โรคหายาก”

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มี นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ.เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบการจัดบริการการดูแลผู้ป่วยโรคหายาก ตามข้อบ่งชี้ และเงื่อนไขบริการที่ สปสช.กำหนด โดยเริ่มในปีงบประมาณ 2563 เป็นปีแรก เพื่อให้ผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) สามารถเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นและเหมาะสม พร้อมกันนี้ตัวแทนกลุ่มผู้ป่วยโรคหายาก โดย น้องเอย อายุ 6 ปี ซึ่งป่วยด้วยโรคขาดบีเอช 4 และพ่อแม่ได้เข้าขอบคุณบอร์ด สปสช.ที่ขยายสิทธิประโยชน์    เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มโรคหายากเข้าถึงการรักษาด้วย 

นายอนุทิน กล่าวว่า ตามที่ บอร์ด สปสช.ได้รับทราบแนวทางการจัดการระบบการดูแลผู้ป่วยโรคหายากในระบบบัตรทอง และมอบให้ สปสช.ดำเนินการร่วมกับ สธ. เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHosNet) ราชวิทยาลัยเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง สมาคมเวชพันธุศาสตร์และจีโนมิกส์ทางการแพทย์ เครือข่ายเวชพันธุศาสตร์สมาคมพันธุศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดระบบบริการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ภายใต้สิทธิบัตรทอง โดยการจัดระบบดูแลผู้ป่วยโรคหายากในระยะที่ 1 เบื้องต้นได้ขยายสิทธิการรักษาให้ครอบคลุม 24 โรคหายาก เป็นโรคพันธุกรรมเมแทบอลิกชนิดความผิดปกติของสารโมเลกุลเล็ก (Inborn errors of metabolism: Disorders of small molecules) ที่มีอาการรวดเร็ว รุนแรง ฉุกเฉิน แต่สามารถรักษาและป้องกันการเกิดซ้ำได้ พร้อมจัดระบบบริการส่งต่อแบบพิเศษเพื่อให้ผู้ป่วยเข้ารักษาที่ “ศูนย์โรคหายาก” ในโรงพยาบาล (รพ.) 7 แห่ง ได้แก่ รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ (รพ.เด็ก) รพ.พระมงกุฎเกล้า รพ.ธรรมศาสตร์ และ รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น

Advertisement

นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนของค่าใช้จ่ายของการจัดระบบการรักษา 24 โรคหายากนี้ ในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นระบบใหม่นี้ กองทุนบัตรทองได้จัดสรรงบประมาณ 12.85 ล้านบาท เพื่อดูแล ปีต่อไปคาดว่ากว่า 20 ล้านบาท โดยประเมินสถานการณ์จำนวนผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรับการตรวจวินิจฉัย 250 รายต่อปี ในจำนวนนี้คาดว่าจะเป็นผู้ป่วยโรคหายากรายใหม่ 52 รายต่อปี ซึ่งระบบจะดูแลครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยกลุ่มเสี่ยง การตรวจยืนยัน การรักษาพยาบาล และการติดตามผลการรักษา รวมถึงค่าพาหนะรับส่งต่อส่งกลับ ทั้งนี้ บอร์ด สปสช.ได้มอบให้คณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุน กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ แนวทาง และเงื่อนไขการจ่ายชดเชยค่าบริการ และให้ สปสช.ออกประกาศดำเนินการ รวมทั้งมอบอนุกรรมการกำหนดประเภทและของเขตบริการด้านสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต ติดตามประเมินผลการดำเนินงานและระบบบริการการดูแลผู้ป่วยโรคหายาก เพื่อพัฒนาและปรับปรุงให้เหมาะสมต่อไป

“กรณีของน้องเอยเป็นตัวอย่างผู้ป่วยโรคหายากที่ชัดเจน ซึ่งโรคบีเอช 4 หากผู้ป่วยได้รับยาอาการป่วยก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ด้วยที่เป็นโรคหายาก ทำให้การวินิจฉัย การรักษาต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ทั้งศูนย์โรคหายากทั่วประเทศยังมีเพียงแค่ 7 แห่ง ประกอบกับยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงยาที่ไม่มีขายในประเทศไทย ทั้งโรคเหล่านี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้นหากมีระบบที่รองรับเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคหายากเหล่านี้ ก็เหมือนกับทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวเหมือนมีชีวิตใหม่ และเป็นไปตามเจตนารมณ์ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ในการดูแลให้คนไทยเข้าถึงการรักษาได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง” นายอนุทิน กล่าว    

Advertisement

สำหรับ น้องเอยอายุไม่ถึงเดือนมีภาวะกรดอะมิโนในเลือดสูง สงสัยป่วยด้วยโรคฟีนิลคีโตนยูเรีย หรือพีเคยู จึงได้รับการรักษาแบบโรคพีเคยู ซึ่งถ้าเป็นพีเคยูจริงเมื่อรักษาแบบพีเคยูแล้วควรจะมีอาการปกติเหมือนเด็กทั่วไป แต่น้องเอยกลับยังมีพัฒนาการล่าช้า นั่งไม่ได้ ลำตัวอ่อน และมีอาการสั่นเกร็งที่แขนขาชัดเจนตอนอายุ 10 เดือน แพทย์จึงได้ทำการตรวจเพิ่มเติม และในที่สุดวินิจฉัยพบว่าเป็น “โรคขาดบีเอช4” ซึ่งเป็นภาวะขาดวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์ในการสลายกรดอะมิโนฟีนิลอาลานีน จึงทำให้ผลตรวจเลือดดูคล้ายโรคพีเคยู การรักษาแบบพีเคยูแม้จะทำให้ระดับกรดอะมิโนของน้องเอยกลับมาเป็นปกติ แต่ก็จะยังมีอาการพัฒนาการช้าและเกร็งสั่น เนื่องการสร้างสื่อประสาทในสมองไม่สมดุล แต่หากวินิจฉัยและรักษาถูก    ต้องโดยการให้ยาบีเอช4 ซึ่งไม่มีขายในประเทศไทยและราคาสูง ร่วมกับการให้ยาควบคุมสารสื่อประสาทอย่างสม่ำเสมอ หลังจากได้รับยาเหล่านี้เพียง 2 วัน อาการสั่นเกร็งหายไปชัดเจน พัฒนาการดีขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันน้องเอยอายุ 6 ปี เข้าเรียนเหมือนเด็กปกติ ที่สำคัญเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันของน้องเอยทำให้ครอบครัวกลับมามีรอยยิ้มและความสุขอีกครั้ง

           

 

 

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image