‘กัญชา’ ไม่ช่วยรักษาโรคเอดส์ หมอชี้คนไข้เมินยาต้านอาการยิ่งทรุดหนัก

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยออกโรงเตือนผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ อย่าหยุด “ยาต้านไวรัส” ย้ำยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดยืนยัน “กัญชา” รักษาได้ แถมยิ่งทำให้อาการทรุดหนัก

พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาล (รพ.) ชลบุรี ในฐานะประธานอนุกรรมการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีมีการนำสารสกัดจากพืชกัญชามาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาบำบัดโรคได้หลายชนิด เช่น โรคพาร์กินสัน โรคลมชัก โรคมะเร็ง เป็นต้น และล่าสุดมีกระแสข่าวว่าสามารถรักษารักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ที่แพทย์แผนปัจจุบันระบุว่าหมดทางรักษา ว่า กรณีที่มีกระแสฮือฮาว่าเมื่อหยดน้ำมันกัญชาให้ผู้ป่วยโรคเอดส์แล้วพบว่าอาการดีวันดีคืน จนเป็นที่ฮือฮาว่า “กัญชารักษาเอดส์ได้” นั้น ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ขอให้ความรู้ ดังนี้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) รายแรกรายงาน ในปี 2524 ต่อมา ปี 2527 รู้สาเหตุว่าเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เข้าไปทำลายภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้ค่าซีดีโฟร์ (CD4) ลดลงจากค่าปกติ 500-900 เซลล์ต่อมิลลิลิตร จนต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อมิลลิลิตร เกิดโรคฉกฉวยโอกาสและเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นสารในกัญชาที่จะนำมารักษาโรคเอดส์ต้องแสดงได้ว่า สามารถลดตัวไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือดได้ ซึ่งเป็นตรรกะของการรักษาโรคเอดส์

พญ.จุรีรัตน์ กล่าวว่า ณ ขณะนี้ แพทย์รักษาโรคเอดส์ยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ ที่จะนำสารสกัดกัญชามาทดแทนยาต้านไวรัสเอดส์เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ ปัจจุบันยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ (Highly Active Antiretroviral Therapy: HAART) สามารถกดตัวไวรัสให้ไม่พบในกระแสเลือด ต่ำกว่า 20 ก๊อบปี้ต่อมิลลิลิตร ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น รอดชีวิต และมีคุณภาพชีวิตเช่นคนปกติ จึงมีการพัฒนายาต้านไวรัสให้กินง่ายขึ้น ข้อแทรกซ้อนน้อยลง และราคาถูกลง ซึ่งขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สามารถจัดเป็นโครงการเอดส์แห่งชาติ (National AIDS Program = NAP) และปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อกินยาต้านไวรัสอยู่ในโครงการกว่า 350,000 คน ที่สำคัญแพทย์และผู้เกี่ยวข้องทางการแพทย์มั่นใจว่ายาต้านไวรัส คือคำตอบการรักษาโรคเอดส์

Advertisement

“ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้งที่ผู้ป่วยหันไปเชื่อสมุนไพร หรือยาโฆษณาแอบอ้าง แล้วหยุดกินยาต้าน ซึ่งพบว่าเพียงไม่กี่เดือนร่างกายจะทรุดลง และป่วยเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อย่างไรก็ตาม สารสำคัญ 2 สารในกัญชา คือ สารทีเอชซี (Tetrahydrocannabinol: THC) และสารซีบีดี (Cannabidiol: CBD) ซึ่งมีผลต่อร่างกายทางจิตประสาท โดยสารทีเอชซีทำให้มีอาการจิตประสาทหลอนและถือเป็นยาเสพติด ขณะสารซีบีดีลดอาการวุ่นวายและไม่มีฤทธิ์เป็นยาเสพติด ส่วนผสมทั้ง 2 สาร จึงมีความสำคัญต่อผลของกัญชาต่อร่างกาย สิ่งที่แพทย์รักษาโรคเอดส์กังวลอย่างยิ่ง คือ เมื่อผู้ป่วยหยุดยาต้านไวรัส และไปใช้สารสกัดกัญชาอย่างเดียว เพียง 2 สัปดาห์ หลังหยุดยาต้านไวรัสในร่างกายจะเพิ่มขึ้นมหาศาล ก่อให้เกิดการดื้อยาและป่วยเป็นโรคเอดส์เต็มขั้นในที่สุด และถึงแม้ผู้ป่วยไม่หยุดยาต้าน การใช้สารสกัดกัญชาร่วมกับยาต้านยังเกิดข้อเสียหาย คือ สารในกัญชามีปฎิกริยาระหว่างยากับยาต้านไวรัส ทำให้ระดับกัญชาสูงขึ้นเป็นอันตรายกับร่างกาย และอาจลดระดับยาต้านไวรัสบางตัว Ataznavir (ATV) ทำให้ผลการรักษาลดลงจนเกิดการดื้อยาในที่สุด” พญ.จุรีรัตน์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image