เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. พร้อมด้วย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ นพ.พรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) นพ.วิทูรย์ อนันกุล ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) เรื่อง เตรียมการเฝ้าระวังและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม 2.5
นพ.สุขุม กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ช่วงหน้าหนาว ซึ่งในข้อมูลจากปี 2561 จะเห็นได้ชัดว่ามีค่าปริมาณพีเอ็ม 2.5 สูงกว่ามาตรฐานในค่าเฉลี่ยที่สูงที่สุดในเดือนธันวาคม ดังนั้น สธ.จึงต้องเร่งวางแผนรับมือเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ สธ.จะแจกชุดความรู้ พร้อมจัดทำสื่อทั้งรูปแบบภาพ เอกสาร วิดีโอ ให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ใช้แนะนำผู้ป่วยในโรงพยาบาลให้ดูแลตนเองในขณะที่มีฝุ่นละอองในอากาศมาก
นพ.สุขุม กล่าวว่า ได้มอบข้อสั่งการ 8 ข้อ คือ 1.ให้ทุกพื้นที่เตรียมการรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์ประเมินความเสี่ยง แจ้งเตือนประชาชนและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนทุกวัน 2.ประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ 3.เตรียมความพร้อมดูแลกลุ่มเสี่ยง ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้คำแนะนำกับกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยติดเตียง 4.สถานบริการทุกแห่งเตรียมความพร้อม น้ำ ไฟสำรอง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และพร้อมเปิดคลินิกมลพิษ เพื่อรักษา ให้คำปรึกษาแก่ประชาชน และเตรียมห้องปลอดฝุ่นในสถานพยาบาลทุกระดับ 5.เฝ้าระวังผู้ป่วยนอกที่มารับบริการในกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ผิวหนัง ระบบตา และอื่นๆ รายงานส่วนกลางทุกสัปดาห์ 6.หากค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มีปริมาณมากกว่า 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) เกิน 3 วัน ให้จังหวัดพิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Public Health Emergency Operation Center: PHEOC) 7.ใช้กลไกคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดในการเตรียมการจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 8.จัดกิจกรรมองค์กรปลอดฝุ่นเพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรลดฝุ่นละออง
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า การวัดค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 นั้นเป็นการวัดค่าเฉลี่ยแบบระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อดูการสะสม โดยวัดจากสถานีตรวจวัดค่าฝุ่นละอองของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จำนวน 34 จังหวัดทั่วประเทศ และสามารถดูค่าฝุ่นละออกได้ทันทีด้วยเครื่องเซ็นเซอร์ (Sensor) ที่ได้รับการพัฒนาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) จำนวน 30 เครื่อง และขณะนี้ยังเหลืออีก 20 จังหวัดที่ไม่มีการตรวจวัดค่าฝุ่นละออง จึงจำเป็นต้องใช้การเทียบเคียงค่าจากสถานีที่ใกล้ที่สุด
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมอนามัยได้ติดตามค่าฝุ่นละอองเพื่อดูแลกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล และเปิดห้องปลอดฝุ่นให้แก่ผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาล เพื่อป้องกันฝุ่นจากภายนอก พร้อมทั้งยังแจกหน้ากากอนามัยและหน้ากาก N95 ซึ่งจะต้องอธิบายกับประชาชนว่าหน้ากากอนามัยนั้นก็สามารถป้องกันฝุ่นได้ในเบื้องต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่และความเหมาะสมของการใช้งาน การแจกชุดความรู้ 37คำถาม พบบ่อยเกี่ยวกับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 พร้อมจัดทำสื่อให้ความรู้ประชาชน
นพ.มานัส กล่าวว่า ทางกรมการแพทย์จะเปิดคลินิกมลพิษ เพื่อดูแลด้านสุขภาพของประชาชน พร้อมทั้งจะดำเนินงานตามมาตรการ 5 ข้อ คือ 1.ทำแพลตฟอร์มของคลินิกมลพิษให้ง่ายขึ้นเพื่อการเข้าถึง 2.กระจายคลินิกมลพิษไปยังพื้นที่ต่างๆ ใน กทม. อย่างทั่วถึง 3.กระจายคลินิกมลพิษไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศไทยในทุกภาค 4.เพิ่มการเข้าถึงมากขึ้นด้วยการเปิด คลินิกมลพิษพีเอ็ม 2.5 ออนไลน์ ให้ประชาชนถามข้อสงสัยได้โดยจะมีแพทย์/เจ้าหน้าที่คอยตอบคำถาม 5.อบรมแพทย์และพยาบาลในการดำเนินงานคลินิกมลพิษ พีเอ็ม 2.5 ออนไลน์
นพ.มานัส กล่าวต่อไปว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกรณีเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในระดับจังหวัดจะเปิดเมื่อค่า พีเอ็ม2.5 มากกว่า 75 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน และจะปิดศูนย์เมื่อมีค่าเฉลี่ยลดลงน้อยกว่า 75 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกันเกิน 6 วัน โดยมีสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)เป็นผู้รับผิดชอบ
นพ.พรศักดิ์ กล่าวถึงสถานการณ์สุขภาพกลุ่มโรค Asthma COPD และ ACD จากการเฝ้าระวังและรายงานจากโรงพยาบาลเครือข่ายกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน ว่า มีผู้ป่วยโรคหอบหืดที่เป็นโรคจากระบบทางเดินหายใจมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และยังพบอาการอื่นๆ เช่น ผิวหนังอักเสบ ตาอักเสบ ร่วมด้วย ดังนั้นจึงสั่งการให้จังหวัดที่เฝ้าระวังรายงานข้อมูลไปที่ สธ.ทุกสัปดาห์
ด้าน นพ.ธเรศ กล่าวว่า ขณะนี้ สบส.ได้ดำเนินงานเพื่อเตรียมการรับมือกับฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ด้วย 5 มาตรการ คือ 1.ให้ อสม.ในพื้นที่ให้ความรู้กับประชาชนในการป้องกันและการปฏิบัติตัวเมื่อเจ็บป่วยจากการรับฝุ่นละออง 2.การเตรียมความพร้อมรับมือกับฝุ่นละออง การป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย หน้ากาก เอ็น95 3.เผยแพร่แนวทางปฏิบัติตนเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงกับฝุ่นละอองให้กับ อสม.เพื่อให้นำไปถ่ายทอดสู่ประชาชน 4.จัดทำเฟซบุ๊กเพจเพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นและผลกระทบ 5.ทำชุดความรู้แจกจ่ายให้ประชาชน