“บัตรทอง” ศึกษายาเพร็พ 1 ปี ก่อนตัดสินใจประกาศเป็นสิทธิประโยชน์

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการบริหารจัดการยาเพร็พ (PrEP) ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการเทิดพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เนื่องในโอกาสที่ได้ทรงรับการถวายตําแหน่ง ทูตสันถวไมตรีโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติในการป้องกันเอชไอวีในภูมิภาคเอวียและแปซิฟิก ว่า สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทยดีขึ้นมาก เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา ระบบบริการมีความเข้มแข็ง มีการพัฒนางานด้านวิชาการ องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์มากขึ้น และการมีส่วนร่วม โดยงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ ปัจจุบันโรคเอดส์เป็นโรคเดียวในบรรดาโรคที่เป็นภาระกับระบบสุขภาพที่มีอัตราการติดเชื้อรายใหม่ลดลง สะท้อนถึงความสำเร็จในการควบคุมการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจาย ขณะที่โรคอื่น เช่น เบาหวาน ความดัน มีแต่จะมีผู้ป่วยสูงขึ้น

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า เครื่องมือหลักที่ใช้ในการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ คือ ถุงยางอนามัย แต่ใช้เครื่องมือนี้อย่างเดียวอาจไม่เหมาะในบางกลุ่มที่มีพฤติกรรม หรืออาชีพที่แตกต่างจากคนทั่วไป อาทิ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สตรีข้ามเพศ พนักงานบริการ (ชาย/หญิง) ผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด เป็นต้น จึงเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกลุ่มคนเหล่านี้หารือเพื่อดูแนวทางการควบคุมการติดเชื้อรายใหม่ ทั้งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการ ส่งผลให้เกิดสิทธิประโยชน์การบริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัส” (PRE-EXPOSURE PROPHYLAXIS: PrEP) หรือ โครงการเพร็พ

“โครงการนี้นำร่องในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีงบประมาณ 2563 ซึ่งสาเหตุที่ยังไม่ประกาศเป็นสิทธิประโยชน์ทั่วไป เนื่องจากยังมีประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบที่ต้องศึกษาทบทวน อย่างที่ทราบว่า บอร์ด สปสช.มีมติในเดือนมิถุนายน 2562 ให้เริ่มดำเนินการในกลุ่มเป้าหมาย 2,000 ราย กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยร่วมกับกรมควบคุมโรค หาหน่วยบริการเข้ามาในระบบและสร้างกลไกการเข้ามามีส่วนร่วมและศึกษาวิจัยไปในตัว โดยศึกษาใน 2 ประเด็น คือ 1.ศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงระบบบริการ เพื่อดูความพร้อมต่างๆ กลไกของผู้ที่จะเข้ามาดำเนินการว่ามีความพร้อมมากน้อยเพียงใด และ 2.การดำเนินการที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติในพื้นที่เป็นอย่างไร เพราะพื้นที่ต่างๆ ทั้งภาคเหนือ ใต้ กลาง อีสาน มีความแตกต่างในเชิงบริบทและวัฒนธรรม จึงต้องระมัดระวังในการดำเนินการระยะเวลา 1 ปี เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนจะกำหนดในเชิงนโยบายว่าจะประกาศให้เป็นชุดสิทธิประโยชน์ทั่วประเทศในลักษณะใด” นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image