เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ. พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการสธ. นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. คณะผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด สธ. ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ และ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว “สธ.ใส่ใจคนไทย เที่ยวปีใหม่ปลอดภัย” เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์สาธารณสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563
นายอนุทิน กล่าวว่า กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 จะให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อสอดส่องดูแลผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์และหากพบก็จะต้องมีการควบคุมตัวไม่ให้ก่อเหตุความวุ่นวายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น และโดยตามกฎหมายที่มีการบังคับใช้ว่า หากผู้ประกอบการร้านค้าใดที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี โดยเยาวชนจะไม่มีความผิดแต่ผู้ขายและผู้ที่สนับสนุนให้เยาวชนเข้าถึงแอลกอฮอล์นั้นมีความผิด ซึ่งเป็นการระงับปัญหาจากต้นเหตุได้ ทั้งนี้ สธ.ได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในกรณีที่มีการรักษาตัวของเยาวชนที่เกิดอุบัติเหตุอันเนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์นั้น จะมีการตรวจเลือดและบันทึกในสำนวนคดีความ เพื่อเอาผิดกับผู้ประกอบการที่จำหน่ายแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชน
“เรื่องการตรวจเลือดเยาวชนที่ดื่มสุรานั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องงบประมาณ เพราะเช็กได้ทั้งปี เรื่องสุขภาพชีวิตคน ความปลอดภัยของคน ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาแลกด้วยตัวเงินหรือจะมาประหยัดอะไร” นายอนุทิน กล่าว
นายสาธิต กล่าวว่า เหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นสำนึกที่เราจะร่วมกันสร้างด้วยตัวเอง โดย สธ.นั้นจะรณรงค์เริ่มจากตัวเองผ่านสมาชิก อสม. เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่คนในชุมชน รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมาย ลดการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ และจะต้องกำชับไปในแต่ละพื้นที่ให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่
นพ.สุขุม กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนที่บาดเจ็บและเจ็บป่วยฉุกเฉิน ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Emergency Operation Center: EOC) ที่ส่วนกลางและระดับจังหวัด ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และเตรียมความพร้อมในการระบบบริการแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินของโรงพยาบาล และเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทุกระดับ มีชุดปฏิบัติการฉุกเฉินกว่า 8,336 หน่วย รถปฏิบัติการฉุกเฉิน 21,878 คัน และผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินรวม 164,470 คน เพิ่มบุคลากรมากขึ้นจากเดิมร้อยละ 120-130 เตรียมความพร้อมห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู อุปกรณ์ต่างๆ ระบบส่งต่อ รวมทั้งจัดหน่วยกู้ชีพระดับพื้นฐานและหน่วยปฏิบัติการระดับสูงประจำบนเส้นทางถนนสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการอยู่ห่างกันมา กรณีบาดเจ็บ/เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถรับบริการที่โรงพยาบาลใกล้ที่สุดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายภายใน 72 ชั่วโมงแรก ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่
นพ.แท้จริง กล่าวว่า ประเทศไทยมีกฎหมายที่ดีมากแต่ไม่เคยบังคับใช้ ทั้งนี้ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ สธ.โดยกรมควบคุมโรคที่ได้มีการขอความร่วมมือไปยัง ตร. ในการนำกฎหมายมาใช้ กรณีที่เยาวชนเกิดอุบัติและเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล หากแพทย์มีความเห็นว่าผู้ประสบเหตุนั้นมีอาการมึนเมา ก็จะรวบรวมหลักฐานการตรวจวัดระดับค่าแอลกอฮอล์ในเลือดและส่งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการเอาความผิดกับผู้ประกอบการที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เยวาชนเหล่านั้นจนเกิดอุบัติเหตุอย่างถึงที่สุด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีและปรับไม่เกิน 30,000 บาท
ด้าน พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า กรณีที่มีเยาวชนประสบอุบัติเหตุและเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล หากแพทย์มีความเห็นว่ามีอาการมึนเมาแอลกอฮอล์นั้น ทางแพทย์สามารถดำเนินการเจาะเลือดเพื่อตรวจและนำส่งในสำนวนคดีได้ โดยจะสามารถเก็บเลือดตรวจได้ทุกราย และการสรุปสำนวนคดีโดยทั่วไปหากเป็นประชาชนที่มีใบอนุญาติขับขี่กฎหมายจะกำหนดค่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากเป็นเยาวชนหรือผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่จะต้องมีค่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และผู้ประกอบการที่จำหน่ายแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชน จะมีโทษตามความเหมาะสมในการพิจารณาของศาลโดยโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 1 ปีและปรับไม่เกิน 30,000 บาท
“ทั้งนี้ การใช้งบประมาณในการตรวจเลือดเยาวชนผู้ประสบเหตุนั้นทางกรมควบคุมโรคได้รับการสนับสนุนงบจากกรมทุนเลขสวย หรือกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ซึ่งปีนี้สนับสนุนมากว่า 40 ล้านบาทเพื่อนำมาเป็นค่าตรวจเลือด โดยเฉลี่ยจะมีค่าใช้จ่ายรายละ 800 บาท” พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าว
