หมอจุฬาฯ คาดนักโทษฮอร์โมนไทรอยด์สูงผิดปกติ กิน ‘คอไก่-คอหมู’ แต่อาจมีพร่อง ‘บี1’ ร่วมด้วย

หมอจุฬาฯ คาดนักโทษฮอร์โมนไทรอยด์สูงผิดปกติ กิน ‘คอไก่-คอหมู’ แต่อาจมีพร่องบี 1 ร่วมด้วย

เมื่อวันที่ 5 มกราคม ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ป่วยแขนขาอ่อนแรงจำนวนมาก และเสียชีวิต จำนวน 4 ราย ซึ่งแพทย์ระบุว่าทั้งหมดมีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์สูง อาจจะมาจากอาหารที่รับประทาน แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้รับอาหารที่มีฮอร์โมนไทรอยด์ปนเปื้อน จึงทำให้ร่างกายมีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์สูงผิดปกติ ทั้งนี้ อาหารดังกล่าวคาดว่าจะเป็นจำพวกคอไก่ หรือคอหมู เพราะเนื้อส่วนนี้จะมีต่อมไทรอยด์ติดมาด้วย

“เนื้อส่วนนี้ราคาไม่แพง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการนำมาประกอบอาหารให้ผู้ต้องขังรับประทาน เพราะถ้านำมาสับละเอียดจะดูไม่ออกว่าเป็นเนื้อจากส่วนใด ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ในส่วนคอมากๆ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะได้รับฮอร์โมนไทรอยด์สะสมในร่างกาย ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไปอย่างไรก็ตาม

“สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว ยังไม่อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องปักใจว่าเป็นเพราะได้รับฮอร์โมนไทรอยด์เพียงอย่างเดียว เพราะจากประสบการณ์เคยพบเหตุการณ์ผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และคนบนเรือประมง จ.ระนอง พบว่าหลายคนที่ป่วยด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง ซึ่งจากตรวจวินิจฉัยและสอบสวนโรคพบว่าเกิดจากการที่ร่างกายพร่องวิตามินบี 1 ดังนั้น กรณีนี้อาจจะมีเรื่องของการพร่องวิตามินบี 1 ร่วมด้วย เมื่อมาประกอบกับการที่ได้รับฮอร์โมนไทรอยด์ด้วยจึงทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น” ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าว

Advertisement

ย้อนอ่าน : สสจ.พิษณุโลก ยืนยัน นช.ในคุกตาย 4 ราย ไม่ใช่โรคระบาด รอผลห้องแล็บ ญาติติดใจ
– ส่ง 24 นักโทษคุกพิษณุโลกแอดมิท ป่วยไทรอยด์ฮอร์โมนสูง เฝ้าระวัง 690 คน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยอาการที่คล้ายคลึงกันจำนวนมาก เข้าข่ายเป็นโรคระบาดหรือไม่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการเกิดโรคระบาดจะต้องเกิดจากการติดเชื้อ และป่วยด้วยอาการเดียวกัน แต่ในทางการแพทย์นั้น เมื่อมีการพบผู้ป่วยหลายคนที่มีอาการคล้ายคลึงกัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แม้จะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อก็ถือว่าเข้าข่ายโรคระบาดได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีนี้ไม่อยากให้สังคมแตกตื่น เพราะไม่ใช่การติดเชื้อใดๆ เพียงแต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนแบบเดียวกัน และเกิดอาการในบริเวณ และช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันเท่านั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image