สธ.ยัน ไม่ได้รายงานโควิด-19 ต่ำกว่าความเป็นจริง ย้ำ รู้ก่อน ป้องกันก่อน

สธ.ยัน ไม่ได้รายงานโควิด-19 ต่ำกว่าความเป็นจริง ย้ำ รู้ก่อน ป้องกันก่อน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และ นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษก สธ. แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนา2019

นพ.โสภณ กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลก 27 ประเทศและ 2 เขตปกครองบริหารพิเศษ พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อสะสม 75,138 ราย เสียชีวิต 2,700 ราย และส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน ขณะนี้การระบาดในประเทศจีนเริ่มดีขึ้น เนื่องจากมีผู้หายป่วยเพิ่มมากขึ้นและผู้ที่เข้ารับการรักษามีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่วนในประเทศไทยขณะนี้สถานการณ์เริ่มคงตัว ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อสะสม 35 ราย ในจำนวนนี้แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว 17 ราย คงเหลือที่อยู่ในการรักษาที่โรงพยาบาล(รพ.) 18 ราย นับว่าเป็นประเทศที่มีผู้ที่หายป่วยในอัตราที่สูงและไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนใน 2 รายที่มีอาการหนัก วันนี้อาการทรงตัว ไม่มีไข้และอยู่ในการดูแบของแพทย์อย่างใกล้ชิด

“โดยรวมจะเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในระดับภูมิภาค นานาชาติส่งผลดีต่อการควบคุมโรค ตอนนี้อยู่ในการเฝ้าระวังติดตามเพิ่มเติม ระบบการเฝ้าระวังมีความเข้มแข็ง มีการขยายกลุ่มเป้าหมายในการเฝ้าระวัง หากมีการแพร่เชื้อจะรู้ทันที และมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ(แลป) ร่วมด้วย” นพ.โสภณ กล่าว

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

 

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สธ.มีนโยบายการเฝ้าระวังที่เน้นในกลุ่มเสี่ยงคนไทยที่ทำงานใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และพบว่าช่วงแรกมีคนไทยติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 เช่น พนักงานขับรถ คนทำงานบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ยังเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยขณะนี้ สธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการยกระดับการเฝ้าระวัง ขยายกลุ่มเฝ้าระวังไปใน 8 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร(กทม.) ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และเชียงราย เฝ้าระวังประชาชนในพื้นที่ถึงแม้ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ หากพบผู้ที่มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ และในช่วง 14 วันย้อนหลังพบอาการมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็จะต้องเฝ้าระวังและตรวจหาสาเหตุของการป่วย

กรณีบุคลากรทางการแพทย์ที่ประเทศจีนติดเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยและมีการเสียชีวิตจากการทำงานดูแลผู้ป่วย โดยล่าสุดผู้อำนวยการ รพ.แห่งหนึ่งของเมืองอู่ฮั่น เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 นพ.โสภณ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับประเทศจีนและครอบครัวของบุคลากรทางการแพทย์ที่สูญเสีย แต่โดยปกติหากมีการระบาดของโรคและมีผู้ป่วยมารักษาตัวที่ รพ. บุคลากรทางการแพทย์ อาทิ แพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์และบุคลากรที่ให้บริการผู้ป่วย ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น หากปริมาณงานไม่มาก การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อในบุคลากรจะมีประสิทธิภาพมาก

 

แต่ในกรณีของประเทศจีนมีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมาก และมากกว่าร้อยละ 80 อยู่ที่เมืองอู่ฮั่น จึงทำให้มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อกว่า 1,700 ราย และเสียชีวิต 6 ราย อย่างไรก็ตามยังไม่มีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันเพียง 35 ราย และกระจายอยู่ใน รพ.ต่างๆ ซึ่งมีระบบจองการป้องกันควบคุมโรคได้ตามมาตรฐาน รวมถึงบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยต้องผ่านการฝึกอบรมและปฏิบัติการตามขั้นตอนดูแลผู้ป่วย แต่เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ประเทศไทยพบบุคลากรทางการแพทย์ 1 รายของ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ติดเชื้อจากการปฏิบัติงาน โดยการตรวจครั้งแรกถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออก และทราบภายหลังว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ร่วมด้วย ขณะนี้อาการอยู่ในระดับที่ดีขึ้นและอยู่ในระหว่างการรักษา ดังนั้น ประเทศไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อจากการดูแลผู้ป่วยมีเพียง 1 ราย

เมื่อถามว่ามีนักวิชาการรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่าการรายงานผู้ป่วยของประเทศไทยอาจจะมีการรายงานต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมากกว่าประเทศอื่นแต่ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีการระบาดเป็นวงกว้างเหมือนในประเทศอื่นที่มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า นพ.โสภณ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่มีมาตรการการเฝ้าระวังคัดกรองที่สนามบินและที่สถานพยาบาล โดยดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม จะเห็นได้ว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับสถานการณ์ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศแรกที่ตรวจพบผู้ป่วยรายแรกนอกประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม โดยเป็นนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาและมีอาการป่วยที่สนามบินและถูกแยกตัวออกมาตรวจรักษาพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 และได้ทำการแถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม

“เวลาเราเห็นประเทศอื่นดีกว่าเรา เราก็จะมีคำถาม 2 แบบคือ เขาทำดีได้อย่างไรกับสงสัยว่าดีจริงหรือเปล่า เรารู้เร็ว ตื่นก่อนก็มักจะทำอะไรได้มากกว่าคนที่ตื่นทีหลัง ระบบของเราทั้งสนามบินและขยายไปท่าเรือ สถานพยาบาล ชุมชน ได้ลุกขึ้นมาป้องกันเพื่อให้ปัญหามันลดลง เพราะเฝ้าระวังอย่างเดียวจะรู้แค่มีปัญหาเกิดขึ้นหรือเปล่าแต่ถ้าป้องกันร่วมด้วยก็จะทำให้ปัญหาลดลง ดังนั้นต้องถามกลับว่าประเทศที่ตั้งข้อสงสัยประเทศเรา เขาได้ทำอะไรในเชิงป้องกันที่สะท้อนว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการแพร่เชื้อ ความหนักใจอีกอย่างหนึ่งคือ ในวันนี้ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ให้แถลง ทั้งที่ได้มีการขยายการคัดกรองที่มากขึ้นใน 8 จังหวัด คนไทยที่ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ และผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยง เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เราตรวจมากขึ้นแต่เราหาไม่พบ” นพ.โสภณ กล่าว

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาประเทศไทยลดลงกว่าร้อยละ 90 ดังนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็จะลดลงไปด้วย แต่จะพบคนไทยที่ป่วยมากขึ้นเนื่องจากการคัดกรองเฝ้าระวังขยายออกไปมากขึ้น แต่สถานการณ์เริ่มคงที่แล้ว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ก็จะไม่มีการแพร่ระบาดต่อ

เมื่อถามว่าขณะนี้ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคจำนวกว่า 900 ราย สัดส่วนจำนวนเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติมากกว่ากัน นพ.โสภณ กล่าวว่า โดยภาพรวมแล้วสัดส่วนใกล้เคียงกัน ประมาณร้อยละ 45 ใน 2 สัญชาติคือ ไทยและจีน ส่วนที่เหลือคือชาติอื่นที่เดินทางผ่านเข้ามาในประเทศไทยรวมถึงเป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด ระยะหลังจะพบว่ามีคนไทยเข้ามาสู่ระบบการตรวจวินิจฉัยมากขึ้น เนื่องจากคนไทยมีความตระหนักมากขึ้น และเมื่อมีการยกระดับการเฝ้าระวังผู้เดินทางมาจากประเทศที่มีรายงานการระบาดของโรค และในช่วง 2 วันที่ผ่านมามีผู้เข้ามาเข้ารับการตรวจรักษาจากกรณีนี้มากขึ้น ส่งผลให้จำนวนของผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนในกรณีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าแต่ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019

นพ.โสภณ กล่าวว่า ในจำนวนผู้เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคกว่า 900 ราย จำนวนนี้เป็นคนในกรุงเทพมหานคร 300 กว่าราย คิดเป็น 1 ใน 3 ของทั้งหมด ต่อมาเป็นพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ระยอง และพื้นที่ของ เชียงใหม่ ภูเก็ต ส่วนภาคอื่นๆ ยังมีน้อย โดยขณะนี้มีผู้ที่อยู่ในการรักษาอาการที่ รพ.ประมาณ 80 ราย และส่วนใหญ่ผลจากห้องปฏิบัติการเป็นลบ และในส่วนของรายที่กลับบ้านไปแล้วนั้นส่วนใหญ่เป็นเพียงโรคไข้หวัด

เมื่อถามว่าขณะนี้ในหลายพื้นที่มีอากาศเริ่มเย็นลง จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า เนื่องจากไม่ได้มีเพียงไวรัสโคโรนา2019 แต่ยังมีไวรัสไข้หวัดใหญ่ เชื้อหวัดทั่วไป เช่น อะดิโนไวรัส อาร์เอสวี ดังนั้นควรดูแลร่างกายให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ดูสุขอนามัย จะช่วยทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ทั้งนี้โรคไข้หวัดใหญ่มีวัคซีนป้องกันที่สามารถฉีดป้องกันไว้ก่อนได้ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image