ชวนสถานประกอบการใช้สิทธิรับเงินช่วยเหลือ/อุดหนุน “อัพ สกิล” ลูกจ้าง

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปี 2563 กพร.ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อเป็นเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนสถานประกอบกิจการที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2557 ในแต่ละกรณี จำนวน 30 ล้านบาท ปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการ ได้รับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 1,150 แห่ง เป็นเงิน 6,125,632 บาท

นายธวัช กล่าวว่า สำหรับสถานประกอบกิจการที่สามารถขอรับเงินอุดหนุนนี้ได้จะต้องมีลูกจ้างตั้งแต่
100 คนขึ้นไป และต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือฯ หลายกรณี อาทิ จัดฝึกอบรมลูกจ้างเกินกว่าร้อยละ 70 ของลูกจ้างทั้งหมด โดยส่วนที่เกินกว่าร้อยละ 70 นั้น จะได้รับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุน จำนวน 200 บาท ต่อ ลูกจ้าง 1 คน เช่น สถานประกอบกิจการมีลูกจ้างทั้งหมด 1,000 คน ฝึกอบรมพนักงานในปี 2561 จำนวน 850 คน ซึ่งเป็นการจัดฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างเกินกว่าร้อยละ 70 จำนวน 150 คน (ร้อยละ 70 ของลูกจ้างเท่ากับ 700 คน) มีสิทธิขอรับเงินอุดหนุนจำนวน 30,000 บาท หรือสถานประกอบกิจการที่จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานของตนเอง แล้วนำไปใช้ทดสอบลูกจ้างของตนเองมีสิทธิรับเงินช่วยเหลืออุดหนุนได้ สาขาระดับละ 10,000 บาท เช่น บริษัท A จัดทำมาตรฐานฝีมือของผู้ประกอบอาชีพ สาขาพนักงานตัดเย็บ ระดับ 1 และระดับ 2 แล้วนำไปใช้ในการทดสอบมาตรฐานแก่ลูกจ้างของตนเองด้วย จะได้รับเงินอุดหนุนเป็นเงิน 20,000 บาท หรือกรณีที่สถานประกอบกิจการส่งลูกจ้างเข้ารับการทดสอบและผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ไม่น้อยกว่า 180 วัน มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุน 1,000 บาทต่อคน แต่ไม่เกินปีละ 100,000 บาท

นายธวัช กล่าวว่า การให้เงินช่วยเหลืออุดหนุนดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อสถานประกอบกิจการและลูกจ้าง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือมีทักษะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานอีกด้วย

Advertisement

“สำหรับผู้ประกอบกิการที่เข้าหลักเกณฑ์ สามารถติดต่อขอรับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนในแต่ละกรณี สามารถติดต่อสถาบัน/สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 2643 6039 หรือ 0 2643 4977 หรือสายด่วน 1506 กด 4” อธิบดี กพร.กล่าว

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image