ผู้เขียน | จิราพร จันทร์เรือง |
---|
ผมเคยติดเชื้อ โควิด-19
คำบอกเล่าจากปาก
โชเฟอร์แท็กซี่ผู้ป่วยจริง
สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา สร้างความหวั่นผวาให้แก่ประชากรทั่วโลก จุดเริ่มต้นแพร่เชื้อจากเมืองที่ชื่อว่า อู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายในระยะเวลาข้ามสัปดาห์โรคเดินทางข้ามพรมแดนมาสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว มาตรการของประเทศไทยเข้มงวดเพื่อคัดกรองผู้เดินทางจากต่างประเทศหวังสกัดเชื้อ ก่อนที่เชื้อจะแพร่เข้าสู่ประเทศไทย
แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อมีการพบผู้ป่วยภายในประเทศไทยเป็นรายแรก เมื่อวันที่ 31 มกราคม มีอาชีพขับรถแท็กซี่รับจ้าง รับส่งนักท่องเที่ยว และผู้โดยสารทั่วไป ผู้ป่วยรายนี้เปิดเผยชื่อกับผู้สื่อข่าว เขาคือ นายทองสุข ทองราช
ทองสุข บอกว่า ขณะที่ตัวเองเป็น 1 ในผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และได้รับการรักษาอยู่ในสถาบันบำราศนราดูรเป็นระยะเวลา 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม และหมออนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยหมอผู้ทำการรักษาแจ้งว่าผลจากห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในร่างกายตั้งแต่ 4 วันแรกของการรักษาพยาบาลแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ ตรวจสอบซ้ำอยู่อีกหลายหน ด้วยการส่องกล้องเข้าทางช่องคอ หลังจมูก รวมถึงการเจาะเลือด
หมอแจ้งว่า ไม่พบเชื้อไวรัสในร่างกายเกิน 1,000,000% แล้วจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ทองสุขกล่าว
ภายหลังจากการกลับบ้าน เพื่อกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม ทองสุขบอกว่า หมอแนะนำว่าหากออกจากโรงพยาบาล (รพ.) ไปแล้ว ขอให้เฝ้าสังเกตอาการของตัวเอง หากพบว่ามีอาการไอ เจ็บคอใดๆ ให้รีบกลับมา รพ.ทันที แต่หลังจากที่ตนเองได้ออกจากการรักษามาแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีอาการป่วยใดๆ กลับกันคือร่างกายแข็งแรงกว่าปกติ รวมถึงคนในครอบครัวก็ไม่มีอาการป่วยเพิ่มเติม ส่วนเรื่องของค่ารักษาที่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขอยืนยันว่า ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างฟรีทั้งหมด
เมื่อถามว่า เพื่อนบ้านรับทราบว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เคยป่วยแล้วหายกลับไปอยู่บ้าน คนรอบข้างมีพฤติกรรมอย่างไรที่เปลี่ยนไปหรือไม่ นายทองสุข บอกว่า ทุกคนรอบข้างละแวกบ้านปกติดี ไม่มีท่าทีรังเกียจอะไร และมีแต่ให้กำลังใจกันอย่างมากขึ้น มาหาที่บ้านพูดคุย ถามไถ่ มีเพียงแต่ตนเองที่พยายามเว้นระยะห่างทางสังคม เช่น ไม่ไปพบปะกับเพื่อนฝูง ลดการเดินทางไปเที่ยวเยี่ยมญาติ ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น และตอนนี้ตนเองก็ได้กลับมาทำงานขับรถแท็กซี่รับจ้างตามปกติ แต่เพิ่มมาตรการดูแลป้องกันตนเอง และป้องกันผู้โดยสาร เช่น จะสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา ลดการพูดคุยกับผู้โดยสาร และเมื่อผู้โดยสารลงจากรถไปก็จะ เช็ดรถ ประตูที่จับ เบาะนั่ง รวมไปถึงหากมีโอกาสก็จะนำรถไปจอดกลางแจ้ง 2-3 ชั่วโมง ให้อากาศถ่ายเทและเป็นการฆ่าเชื้อโรคไปในตัว
ลดการคุยกับลูกค้า เพราะเราไม่รู้ว่าลูกค้าเป็นหรือไม่เป็น แต่ถ้าพูดคุยกันน้ำลายก็จะกระจายทั่วรถ เพราะผมเข้าใจว่าโรคนี้มันแพร่กระจายทางสารคัดหลั่ง คนที่บอกว่ากระจายทางอากาศน่าจะฟังโซเชียลมีเดีย (Social Media) มากเกินไป ทองสุขกล่าว
ทองสุขยัง บอกด้วยว่า สำหรับกรณีที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยเพิ่มนั้นก็ได้ติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกว่าทุกคนเริ่มตกอกตกใจกันไปมาก ผมเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาแล้ว มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น คนไทยเปลี่ยนจากความตระหนกเป็นตระหนักจะดีกว่าไหม ทุกคนหันมาให้ความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อไม่ให้เชื้อโรคกระจายไป เช่น หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ไม่ไปชุมชนคนจำนวนมากๆ อย่างที่ทางรัฐบาลได้สั่งปิดสถานบันเทิง สนามมวย ก็เป็นมาตรการที่ดีมาก แต่หากประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ เชื้อโรคมันก็จะแพร่กระจายไปเรื่อย ถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้เราควรอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน 14 วัน หากไม่จำเป็นไม่ควรเดินทางไปที่ไหน มันก็น่าจะช่วยได้ เพราะว่าโรคมันไม่ได้น่ากลัวอะไร เพียงขอให้ทุกคนเปลี่ยนความตระหนกเป็นตระหนักดีกว่า
“โรคมันไม่ได้เลวร้าย ที่ติดแล้วจะเสียชีวิต มันรักษาหายนะ มันไม่ได้น่ากลัว เปลี่ยนจากที่คุณตระหนกตกใจ เป็นตระหนักจะดีกว่า การที่เขาให้ปิดผับ ปิดสนามมวย แต่คุณกลับไปหาที่ปาร์ตี้กัน ไปชุมชนกันมันก็จะขยายวงกว้างออกไป อยากให้ทุกคนเปลี่ยนเป็นความร่วมมือ จากที่เราเคยปาร์ตี้ เราก็หยุด เคยรวมกลุ่ม เราก็หยุด แม้แต่ญาติพี่น้องเชิญถ้าไม่จำเป็นเราก็หลีกเลี่ยงดีกว่า”
ถ้ารักครอบครัว รักญาติ อย่าเยี่ยมญาติ ให้มันผ่านวิกฤตไปก่อน ตราบใดที่ผับบาร์ปิด แต่คุณไม่ได้ปิดตัว ไม่ได้กักตัว มันก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนไม่ให้ความร่วมมือ มันก็จะขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ คนเคยป่วยโควิด-19 และรักษาหายแล้วกล่าว