สภาเภสัชกรรมห่วง “ซีพีทีพีพี” ทำไทยเสียเปรียบ จี้รัฐบาลใช้กระบวนการโปร่งใส

สภาเภสัชกรรมห่วง “ซีพีทีพีพี” ทำไทยเสียเปรียบ จี้รัฐบาลใช้กระบวนการโปร่งใส-เปิดเผยทุกขั้นตอน

ซีพีทีพีพี- เมื่อวันที่ 26 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ประเทศไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 เมษายนนี้ ล่าสุด สภาเภสัชกรรมได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องกลไกทางวิชาการและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการที่ไทยจะยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมซีพีทีพีพี เพื่อความรอบคอบและส่งผลดีโดยรวมต่อประเทศ

ในแถลงการณ์ระบุว่า “ในการยื่นขอเจรจาเข้าร่วมความตกลงซีพีทีพีพี นั้น ไม่ควรเสนอให้หน่วยงานปรับแก้กฎระเบียบให้สอดคล้องกับความตกลงซีพีทีพีพี ทั้งๆ ที่การยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม เป็นเพียงขั้นตอนเริ่มกระบวนการเท่านั้น ควรใช้เงื่อนไขที่ต้องใช้เวลาการ ปรับแก้กฎระเบียบเพื่อต่อรอง แต่ควรเสนอให้หน่วยงานเสนอเงื่อนไขต่างๆ เพื่อใช้ในการเจรจาต่อรองกับประเทศภาคีต่างๆ ให้ไทยได้ผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุด

ทั้งนี้ รศ.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยว่า สภาเภสัชกรรมได้ศึกษาติดตามการเจรจาและเนื้อหาของข้อตกลงซีพีทีพีพีมาโดยตลอด จนถึงฉบับล่าสุด ที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวแล้วนั้น แม้ว่าหลายประเด็นในเรื่องสิทธิบัตรที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยาจะถูกถอดออกไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีเนื้อหาอีกหลายส่วนที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยา การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ และส่งผลต่อเรื่องสุขภาพและระบบสาธารณสุขในด้านอื่นอีก เช่น การผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) ข้อผูกมัดในบทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา บทที่ว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนที่ให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการนอกประเทศได้ และกรณีสินค้าเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์ยาสูบบุหรี่ ที่ลดภาษีนำเข้าลดลงจนเหลือร้อยละ 0 และการเข้าร่วมความตกลง UPOV 1991 เป็นต้น

รศ.ภญ.จิราพร กล่าวว่า ในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศ ประเทศต่างๆ มีความระมัดระวัง มีกลไกการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และกลไกทางวิชาการ ให้มีการศึกษาอย่างรอบด้านถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ และทำรายงานเสนอต่อรัฐสภาและต่อสาธารณะ เพื่อช่วยให้การเจรจาความตกลงระหว่างประเทศมีความรอบคอบและส่งผลดีโดยรวมต่อประเทศ เช่น รายงานวิเคราะห์เพื่อผลประโยชน์ชาติ (National Interest Analysis, NIA) ของรัฐบาลนิวซีแลนด์ ที่เผยแพร่สู่สาธารณชนและเสนอต่อรัฐสภา เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ เป็นต้น

Advertisement

“ประเทศไทยเคยมีกลไกที่สำคัญบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 ซึ่งเป็นกลไกที่ดีก่อให้เกิดความโปร่งใส รอบคอบ ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะรัฐสภาที่เป็นผู้แทนปวงชาชาวไทย ทั้งก่อนการเจรจา ระหว่างการเจรจา และหลังการเจรจา แต่ไม่มีความแน่ชัดในการกำหนดให้มีกลไกทางวิชาการที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้ ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ เสนอต่อสาธารณชนและรัฐสภา” นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวและว่า ดังนั้น สภาเภสัชกรรมขอเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้ใช้กลไกเช่นที่เคยบัญญัติไว้ในในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 ในการเริ่มเจรจาขอเข้าร่วมซีพีทีพีพี เพื่อความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และสร้างกลไกทางวิชาการที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้ โดยต้องทำรายงานการวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ เสนอต่อสาธารณชนและรัฐสภาก่อนการทำความตกลงระหว่างประเทศด้วย

 

 

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image