ที่มา | น.19 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 29 ก.ค.2563 |
---|
“ความยั่งยืน” ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนจำนวนมากเห็นคุณค่าและร่วมกันปกปักษ์รักษา ซึ่งตลอดระยะเวลา 17 ปี บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยมรสุมและความท้าทายนับครั้งไม่ถ้วนนั้น ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงชนิดที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโค่นล้มได้
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าความยั่งยืนเหล่านั้นจะเกิดขึ้นมาได้เอง หากแต่ทั้งหมดเป็นผลพวงจาก “กลไก” ที่ผู้วางระบบได้ออกแบบไว้ นั่นก็คือกระบวนการ “รับฟังความคิดเห็น” จากทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ซึ่งถูกกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
การรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานจึงเป็นมากกว่าธรรมเนียมปฏิบัติ หากแต่ถือเป็น “หน้าที่ตามกฎหมาย” ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต้องดำเนินการ ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การสร้างระบบที่ “ทุกคนเป็นเจ้าของ”
เวทีรับฟังความเห็นหัวข้อ “บริหารกองทุนบัตรทองอย่างไรให้ประชาชนสุขภาพดี โรงพยาบาลมีความสุข” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 จึงนับเป็นอีกครั้งที่มีความสำคัญยิ่ง โดยการพูดคุยครั้งนี้ให้ความสำคัญที่ความเห็นของ “ผู้ให้บริการ” หลังจากเวทีแรกเป็นการรับฟังเสียงของ “ผู้พิการ” ไปก่อนแล้ว
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการสื่อสารสังคมและรับฟังความเห็น ชี้แจงว่า เนื้อหาหลักของการรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ คือการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจ่ายเงินกองทุน การตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทุน รวมถึงสิทธิประโยชน์ และข้อเสนอในการพัฒนาระบบ
ก่อนจะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. ได้อธิบายถึงทิศทางการบริหารกองทุนบัตรทอง ซึ่งอยู่ภายใต้คำจำกัดความที่ต้องการทำให้คนไทยทุกคน “เข้าถึงบริการ” อย่างเท่าเทียม โดยต้องครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล และครอบคลุมสิทธิประโยชน์
“ในเรื่องสิทธิประโยชน์นั้น แม้ว่า สปสช.อยากจะทำทุกเรื่อง แต่การเพิ่มสิทธิประโยชน์ย่อมหมายถึงการเพิ่มงบประมาณขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น เราจึงต้องจัดลำดับความสำคัญเพื่อเลือกว่าจะทำเรื่องใดก่อนหลัง” นพ.การุณย์อธิบาย
ขยายความเพิ่มเติมจาก นพ.จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการ สปสช. ที่ให้ภาพอนาคตอันใกล้นี้ว่า “หน่วยบริการปฐมภูมิ” จะมีความสำคัญและเป็นกลไกที่ใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่ง สปสช.ได้จับมือกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อสร้างความเข้มแข็งในเรื่องระบบบริการปฐมภูมิ โดยหลังจากนี้ระบบบริการจะไม่สามารถยืนอยู่อย่างเดี่ยวๆ ได้ แต่จะต้องทำงานกันเป็นเครือข่าย
นอกจากงบบริการในหน่วยบริการ งบบริการในชุมชน งบบริการปฐมภูมิเพิ่มเติมนอกเหมาจ่ายแล้ว สปสช.ยังมีงบเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการโดยหน่วยบริการร่วมให้บริการ เพื่อสนับสนุนนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคมและลดความแออัดด้วย โดยในปี 2564 มีรายการใหม่ 5 รายการ
ทั้งนี้ ประกอบด้วย 1.ร้านยาอบอุ่นรับ ยาใกล้บ้าน 2.บริการส่งยาทางไปรษณีย์ 3.บริการโทรเวชกรรมและสายด่วนสุขภาพจิต 4.บริการพยาบาล/กายภาพบำบัดในชุมชน 5.บริการตรวจห้องปฏิบัติการนอกหน่วยบริการ
ถัดจากนั้น เวทีส่วนกลางได้เปิดให้ผู้ที่รับฟังทางช่องทางออนไลน์ร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งมีข้อเสนอหลากหลายประเด็น
รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า แพทย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เสนอว่า สปสช.ควรปรับหลักเกณฑ์ให้คล่องตัวและเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของหน่วยบริการ โดยยกตัวอย่างการดูแลคนไข้โรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งได้พัฒนาเครือข่ายบริการ Stroke Fast track เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาโดยเร็ว ตลอดจนพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลชุมชนในการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น แต่ สปสช.ออกเงื่อนไขกำหนดให้หน่วยบริการต้องมีการดูแลผู้ป่วยครบตามกระบวนการที่ สปสช.กำหนด ทำให้โรงพยาบาลชุมชนไม่สามารถเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าบริการได้ เป็นเหตุให้โรงพยาบาลชุมชนไม่อยากเข้าร่วมเป็นเครือข่ายหน่วยบริการ สุดท้ายทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาส ดังนั้น อยากให้ปรับหลักเกณฑ์ที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของระบบบริการมากกว่านี้
รศ.นพ.สมศักดิ์ ยังสะท้อนประเด็นในเรื่องการเข้าถึงยา ตัวอย่างเช่น ยาโดนีพีซิล (Donepezil) ซึ่งเป็นกลุ่มยารักษาคนไข้โรคสมองเสื่อม แม้ว่าจะมีการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว แต่คนไข้กลับยังเข้าไม่ถึงยา เพราะยามีราคาแพง และ สปสช.กำหนดให้เบิกจ่ายในงบผู้ป่วยนอก ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถจ่ายเงินซื้อยานี้ได้ด้วยงบประมาณที่จำกัด ดังนั้น เสนอว่ายาราคาแพงในบัญชียาหลักแห่งชาติ สปสช.ควรเป็นผู้จัดหาแล้วจ่ายให้โรงพยาบาล โดยใช้วิธีการจัดซื้อยารวมเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะหากให้โรงพยาบาลซื้อยาเอง คนไข้ก็คงจะไม่ได้รับยาแน่ๆ
นพ.มาหะมะ เมาะมูลา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) รือเสาะ จ.นราธิวาส เสนอให้เพิ่มเติมการสนับสนุนบริการสุขภาพยุค New Normal ในส่วนของการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายโรค รวมถึงบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และในส่วนของการเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าบริการนั้น ควรต้องหาจุดสมดุลไม่โอเวอร์โหลดต่อระบบ เพราะบุคลากรด้านการเงินเริ่มมีภาระงานสูงเกินไปแล้ว อีกทั้งยังมีบัญชีต่างๆ ของ สธ.ที่เพิ่มขึ้นทุกปีเข้ามาอีก
ขณะเดียวกัน มีเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบันทึกข้อมูลบริการว่า การบันทึกข้อมูลให้ สปสช. มีปัญหามากในเรื่องรหัสยา จึงเสนอให้ใช้รหัสยาของแต่ละกลุ่มเหมือนๆ กัน
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากรหัสหัตถการที่มีไม่ครบทำให้โรงพยาบาลกำหนดราคาไม่เหมือนกัน รวมถึงปัญหาจากโปรแกรมบันทึกข้อมูลที่มีหลากหลายมาก จึงเสนอให้ปรับใช้โปรแกรมเดียวกันเพื่อลดภาระงาน รวมทั้งในส่วนของงบส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP) ที่จ่ายตามรายการการรักษา (Free schedule) มีข้อเสนอให้จ่ายแยกขาดจากกันให้ชัดเจน ไม่เอามาปนกัน
สำหรับระบบการตรวจสอบบัญชี (Audit) ทุกวันนี้ ทั้ง 3 กองทุนสุขภาพยังไม่เหมือนกัน จึงมีข้อเสนอให้ปรับปรุงระบบให้ใกล้เคียงกัน รวมทั้งคุณภาพและเกณฑ์การตรวจสอบของ Auditor ของแต่ละกองทุนก็ไม่เท่ากัน จึงเสนอให้ปรับปรุงเกณฑ์
การเสนอความคิดเห็นยังครอบคลุมไปถึงปัญหาแพทย์และพยาบาลที่ไม่เข้าใจเกณฑ์การตรวจสอบ ทำให้บันทึกข้อมูลไม่ครบถ้วน มีปัญหาตอนตรวจ ในประเด็นนี้มีข้อเสนอให้ สปสช.เน้นการอบรมหน่วยบริการ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกิดความผิดพลาดบ่อย และอยากให้คืนข้อมูลให้โรงพยาบาลเพื่อโอกาสในการพัฒนาด้วย