ทส.จัด “ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ร.10” ในที่ดินยึดคืนจากนายทุนใหญ่เจ้าของห้างดัง

ทส.จัด “ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ร.10” ในที่ดินยึดคืนจากนายทุนใหญ่เจ้าของห้างดัง

วันที่ 29 กรกฎาคม นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นางคณิสรา เชฐบัณฑิตย์ ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ นายปรยุษณ์ ไวว่อง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และประชาชนในท้องถิ่น ร่วมกันปลูกป่าใน “โครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ บริเวณบ้านท่ากระทิ หมู่ที่ 6 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน และเป็นไปตามนโยบาย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายจตุพร บุรษพัฒน์ ปลัด ทส. และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ที่ให้ดำเนินการยึดคืนพื้นที่นายทุนบุกรุกป่าอย่างเด็ดขาด และนำมาฟื้นฟูสภาพป่า เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอีกทางหนึ่ง ให้กับประชาชน

นายนิพนธ์ กล่าวว่า สำหรับที่ดินดังกล่าวได้ยึดคืนมาจากนายทุนใหญ่เจ้าของห้างดังชาวกรุงเทพมหานคร เป็นที่ดินตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 มิถุนายน 2541 ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จำนวน 39 ไร่ ที่ได้ซื้อมาจากราษฎรเดิมในหมู่บ้าน ที่รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือราษฎรผู้ยากจน ให้ผ่อนผันอยู่อาศัยหรือทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติได้ แต่ห้ามมีการซื้อ ขาย เปลี่ยนมือ หรือโอนสิทธิ ในที่ดินดังกล่าว และนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างดังได้ถูกแจ้งความดำเนินคดี เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2560 ในข้อหายึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณโดยมิได้รับอนุญาต

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ต่อมาอัยการจังหวัดกาญจนบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างดัง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561 โดย สรุปคำวินิจฉัยได้ว่า “ราษฏรเจ้าของที่ดินเดิมที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยหรือทำกินตามมติ ครม. วันที่ 30 มิถุนายน 2541 ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ได้มาขอกู้ยืมเงินกับผู้ต้องหา เป็นจำนวนเงิน 2,705,000 บาท และได้นำที่ดินที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยหรือทำกิน ตามมติ ครม. วันที่ 30 มิถุนายน 2541 ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณดังกล่าวมาค้ำประกันเงินกู้ยืมกับผู้ต้องหาเอาไว้ โดยมีสัญญาชำระเงินกู้ยืมคืนภายใน 6 ปี ให้กับผู้ต้องหา จึงยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผู้ต้องหาเป็นเจ้าของผู้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าว พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง

Advertisement

“แต่ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำนิติกรรมอำพราง โดยทำนิติกรรมสัญญากู้เงิน อำพราง นิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นการขัดกับกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคสอง ถึงแม้อัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทำให้นายทุนใหญ่เจ้าของห้างดังหลุดพ้นในคดีอาญา แต่ที่ดินดังกล่าวก็ยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ก็ยังมีอำนาจทางปกครองฟ้องขับไล่ยึดคืนที่ดินดังกล่าว กลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดินได้ จึงแจ้งให้นายทุนใหญ่เจ้าของห้างดังออกจากที่ดินดังกล่าว มิฉะนั้นจะประกาศคำสั่งขับไล่ ตามมาตรา 35 (1) พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562 ฉบับใหม่ หากฝ่าฝืนไม่ยอมออกจากที่ดินดังกล่าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ และปรับอีกวันละ 1 หมื่นบาท จนกว่าจะออกจากที่ดินดังกล่าว ซึ่งทางนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างดังก็ยินยอมออกจากที่ดินดังกล่าวแต่โดยดี” นายนิพนธ์ กล่าว

ทั้งนี้ นายนิพนธ์ กล่าวว่า ล่าสุด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณจึงได้นำที่ดินดังกล่าวที่ได้ยึดคืนมาจากนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างดัง จำนวน 39 ไร่ มาปลูกป่าเพื่อแสดงความจงรักภักดีตามโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า โดยการปลูกไม้ป่ามีค่าเสริมเข้าไปในพื้นที่ เช่น ประดู่ แดง มะค่าโมง พะยูง ตะเคียนทอง สักและอื่นๆรวมจำนวน 1,000 ต้น เพื่อให้ป่าบริเวณดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์โดยเร็วขึ้น และเพื่อเป็นการป้องกันการบุกรุกซ้ำในอนาคต เพราะพื้นที่ดังกล่าว เป็นที่ดินผืนงาม ติดถนนทางหลวง อยู่ในเขตชุมชน จึงได้ทำป้ายหินเทียมไม้ติดไว้หน้าพื้นที่ดังกล่าวอย่างถาวร และตั้งชื่อในพื้นที่แห่งนี้ใหม่ว่า “สวนป่าธรรมชาติเอราวัณ” ดำเนินการโดย อุทยานแห่งชาติเอราวัณ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และให้ประชาชนรับทราบโดยทั่วกันว่า บริเวณแห่งนี้ตกเป็นสมบัติของส่วนรวม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และเป็นแหล่งเรียนรู้พันธุ์ไม้ป่ามีค่า ให้กับประชาชนในท้องถิ่น และประชาชนตลอดไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image