เฮ้ง เผยมีตำแหน่งงานว่าง 9.1 หมื่นอัตรา สั่ง กกจ.ทำงานเชิงรุกช่วยกลุ่มรับพิษโควิด-19

เฮ้ง เผยมีตำแหน่งงานว่าง 9.1 หมื่นอัตรา สั่ง กกจ.ทำงานเชิงรุกช่วยกลุ่มรับพิษโควิด-19

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงปัญหาการว่างงานที่เกิดขึ้นกับแรงงานทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งนี้ผลพวงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบถึงสถานการณ์การจ้างงานทั่วโลกไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น

“รัฐบาลโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับปัญหาการว่างงานที่เกิดขึ้นกับประชาชน และไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งทันทีที่ได้รับมอบหมายจาก นายกฯ กระทรวงแรงงานได้จัดการวางแนวทางแก้ไขปัญหาการว่างงาน และดำเนินอย่างเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานทันที โดยขณะนี้ กรมการจัดหางาน (กกจ.) ได้เตรียมตำแหน่งงานว่างไว้รองรับผู้ว่างงานได้แล้ว 91,444 อัตรา” นายสุชาติ กล่าว

สำหรับตำแหน่งงานว่างดังกล่าว นายสุชาติ กล่าวว่า แบ่งเป็น 1.เปิดตลาดในต่างประเทศ โดยร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกแรงงานไทยไปต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้แรงงานไทยเป็นที่ต้องการของตลาดงานต่างประเทศจำนวนมาก เพราะรัฐบาลไทยมีการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ได้ดี ผู้ติดเชื้อในประเทศไม่มีติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้เป็นโอกาสดีในการขยายตลาดแรงงาน โดยขณะนี้มีการส่งแรงงานไปในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ อาทิ ไต้หวัน โดยมีมาตรการเข้มข้นในการป้องกันการติดเชื้อ อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กกจ.พบว่ายังมีตำแหน่งงานที่ยังว่างอยู่ สำหรับส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 49,077 อัตรา ใน ไต้หวัน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) มาลาเซีย สิงคโปร์ และ อิสราเอล ซึ่งกระทรวงแรงงานจะประสานงานใกล้ชิดกับอีกหลายประเทศ เพื่อส่งคนไทยไปทำงานในอาชีพใหม่ๆ ได้ทันทีหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า 2.ตำแหน่งงานในประเทศ ทั้งในภาคเอกชนจากระบบสมาร์ท จ๊อบ (Smart Job) ที่เป็นงานประจำ และงานพาร์ท ไทม์ (part-time) รวมทั้งตำแหน่งงานว่างในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ใน 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนด้านแรงงาน เศรษฐกิจ และสังคม จำนวน 42,367 อัตรา (ข้อมูลจาก กองพัฒนาระบบบริการจัดหางาน กกจ.) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ประถมศึกษา จนถึงปริญญาตรีขึ้นไป

Advertisement

“จากข้อมูลของกกจ. พบว่าตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศที่นายจ้างต้องการมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ, แรงงานทั่วไป 3.ช่างอัญมณีและช่างประดิษฐ์เครื่องประดับอื่นๆ 4.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 5.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน), พนักงานขายของหน้าร้าน 6.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่นๆ 7.พนักงานขายและผู้นำเสนอสินค้าอื่นๆ 8.พนักงานขับรถยนต์ 9.พนักงานคลังสินค้าอื่นๆ 10.พนักงานดูแลความปลอดภัย, พนักงานรักษาความปลอดภัย (ยาม) ขณะที่ตำแหน่งงานพาร์ท ไทม์ โดยส่วนใหญ่ต้องการ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่นๆ 3.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน, แคชเชียร์ 4.เจ้าหน้าที่ขนส่งอื่นๆ 5.พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่น ๆ 6.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ, แรงงานทั่วไป 7.พนักงานขายทอดตลาด 8.เจ้าหน้าที่สินเชื่อ, เจ้าหน้าที่การเงิน 9.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 10.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน), พนักงานขายของหน้าร้าน” นายสุชาติ กล่าว

นอกจากนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนตำแหน่งงานว่างในเขตพื้นที่อีอีซีที่มีความต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานด้านการผลิตอื่นๆ, แรงงานทั่วไป 2.พนักงานรักษาความปลอดภัย 3.พนักงานบริการอื่นๆ 4.ช่างอัญมณีและช่างประดิษฐ์เครื่องประดับอื่นๆ 5.ผู้ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ 6.ช่างเทคนิควิศวกรรมไฟฟ้า 7.ช่างเทคนิควิศวกรรมโยธา (ก่อสร้าง) 8.พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่น ๆ 9.เจ้าหน้าที่เทคนิคเคมี, ช่างเทคนิค (อินทรีย์เคมี, ยาง, พลาสติก, โพลิเมอร์, สี, กระดาษ, น้ำมัน, เส้นใย, อาหารและเครื่องดื่ม) 10.เจ้าหน้าที่การตลาด และอื่นๆ (ช่างเทคนิควิศวกรรมเครื่องกลอื่นๆ, แม่บ้านและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ, ช่างเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า ฯลฯ) และ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยในพื้นที่เร่งหาตำแหน่งงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยทำงานเชิงรุก เดินหน้าเข้าหาสถานประกอบการ หาตำแหน่งทำงานที่ว่าง และจับคู่งาน (matching) ให้แก่ผู้ว่างงาน รวมทั้งมีการฝึกทักษะอาชีพ พร้อมสนับสนุนเบี้ยเลี้ยง โดยมีศูนย์อำนวยการแรงงานแห่งชาติ เป็นศูนย์บัญชาการกลาง

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน และกระทรวงต่างๆ ยังได้ระดมกันจัดทำโครงการเพื่อจ้างงาน สร้างรายได้เกือบ 100,000 อัตรา รองรับการแก้ปัญหาการว่างงานโดยเฉพาะ อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เป็นต้น สำหรับกระทรวงแรงงาน ในปีงบประมาณ 2564 ได้ขอจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการจ้างงานให้กับประชาชน จำนวน 30,000 อัตรา เช่นกัน

“จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ตลาดแรงงานในประเทศไทยมีความผันผวน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ตระหนักว่า หากแรงงานในประเทศไม่มีงานทำ ย่อมจะส่งผลต่อการใช้จ่ายของคนในประเทศ อาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไป ถึงภาคส่วนอื่นๆ รัฐบลจะเร่งวางแนวทางและดำเนินมาตรการให้ครอบคลุมและให้ได้ผลดีที่สุดกับภาคแรงงานทุกกลุ่ม ให้ได้กลับเข้าสู่ระบบการจ้างงานให้ได้มากที่สุด และเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปในแนวทางที่ดีขึ้น เพราะว่าประเทศไทย เป็นที่ 1 ในโลก ที่แก้ไขปัญหาโควิด-19 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนกิจการต่างๆ ในประเทศสามารถเปิดเป็นปกติได้เกือบ 100% แล้ว เป็นที่อิจฉาของนานาประเทศทั่วโลก” นายสุชาติ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image