ปลัดดุ๊ก พบสื่อวันแรก หลังรับตำแหน่งปลัดสธ.แจงนโยบายเร่งด่วน 5 ข้อ

ปลัดดุ๊ก พบสื่อวันแรก หลังรับตำแหน่งปลัดสธ.แจงนโยบายเร่งด่วน 5 ข้อ

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือ ปลัดดุ๊ก แถลงข่าวภายหลังพบปะกับผู้บริการกระทรวงฯ เป็นการเข้าทำงานวันแรกในตำแหน่งปลัดกระทรวงฯ ภายหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเมื่อวันที่ 23 กันยายน พร้อมด้วยการพบสื่อมวลชนเพื่อแจกแจงนโยบาย 2 ปี

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงฯ 4 ท่าน ซึ่งมี 2 ท่านเป็นว่าที่ปลัดคนใหม่ คือ นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดฯ ด้านบริหาร และ นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดฯ กลุ่มภารกิจด้านสนับสนุนงานบริการสุขภาพ ตนเชื่อมั่นว่าจะทำงานสอดประสานกันดีกับรองปลัดสธ.ฯ ท่านเดิมอีก 2 ท่าน ส่วนตนเข้ารับตำแหน่งใหม่ ในวันที่ 1 ตุลาคม หลังจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้ตนมาทำหน้าที่ปลัด สธ. ซึ่งตนเคยปฏิบัติงานในตำแหน่งรองปลัดฯ ด้านกฎหมาย ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพ 2 เขต อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ประยุกต์ และล่าสุดคืออธิบดีกรมสุขภาพจิต

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการสธ. ไว้วางใจ ว่า ตนจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายที่ท่านมอบหมายให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประชาคมชาวสาธารณสุขมากที่สุด โดยในวันที่ 5 ตุลาคม ตนจะวิดีโอทางไกลพูดคุยและมอบนโยบาย 9 ข้อให้กับบุคลากรส่วนภูมิภาค

Advertisement

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ด้านนโยบาย 9 ข้อ มี 5 ข้อที่เป็นนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ 1.สร้างความมั่นใจ ในการต่อสู้กับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 หรือ โควิด-19 ในระลอกถัดไป ซึ่งตนได้มอบหมายให้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ว่าที่อธิบดีกรมควบคุมโรค จัดทำฉากทัศน์ของการระบาดในระลอกที่สอง เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพที่จะเกิดขึ้น อย่างเช่นในระลอกแรกที่มีฉากทัศน์ ว่าหากประเทศไทยใช้มาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น จะพบผู้ป่วยมากถึง 300,000 ราย แต่ปัจจุบันพบว่ามีเพียง 3,000 กว่ารายเท่านั้น

“การระบาดระลอกที่สอง ไม่น่าจะมีปิดบ้านปิดเมือง เพราะมีมาตรการสังคมที่เราร่วมปฏิบัติอยู่แล้ว อย่างไม่ย่อหย่อน ซึ่งหากอยู่ราว 80% ก็พอจะป้องกันได้ คงไม่เกิดการระบาดแบบมุมกว้าง ส่วนเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในปีแรกที่มีวัคซีนเกิดขึ้น เราจะจัดหาไว้สำหรับ 50% ของจำนวนประชากร ซึ่งที่ปรึกษาก็คุยกันว่าวัคซีนหากสำเร็จแล้ว จะมีวัคซีนล้นตลาด เพราะมีหลายโรงงานผลิต ถ้าสำเร็จก็จะสำเร็จพร้อม ๆ กัน อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนทุกคนยังสวมหน้ากากอนามัยป้องกันเสมอ และขอให้ชาวสาธารสุขกว่า 400,000 คนเป็นตัวอย่างให้ประชาชนอย่าง 100%” ปลัดสธ. กล่าว

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนทำงานกรมสุขภาพจิตมา มีคาถา DMH คือ D Distancing เว้นระยะห่าง M Mask สวมหน้ากากอนามัย และ H Hand washing ล้างมือ และขอยืนยันว่าเรามีความพร้อมทั้งเวชภัณฑ์และอื่นๆ รองรับผู้ป่วยได้จำนวนหนึ่ง โดยมอบให้ นพ.โอภาส และทีมทำงานแถลงฉากทัศน์และสื่อสารกับประชาชนว่าสาธารณสุขจะรองรับผู้ป่วยได้กี่รายต่อวัน และหากพบการระบาดจะสามารถควบคุมได้ภายในกี่วัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจ” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

Advertisement

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า 2.เศรษฐกิจสุขภาพ ในรูปแบบ Service Hub ซึ่ง รมว.สธ. อยากให้กระทรวงฯ สร้างเศรษฐกิจให้ประเทศ จึงนำการทำงานของกรมสนับสนุนบริการและสุขภาพ(สบส.) มากระตุ้นและขับเคลื่อนแนวทาง เช่น สปาเพื่อการรักษา ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหาร สมุนไพร กัญชา-กัญชง เพื่อสร้างมูลค่าให้ประเทศ 3.ระบบสุขภาพ เน้นเรื่อง Sharing Care เพื่อการส่งเสริมป้องกันดูแลสุขภาพ คุณภาพการบริการ และเน้นส่วนเชื่อมต่อบริการปฐมภูมิ เนื่องจากโรงพยาบาลขนาดเล็กและกลาง มีปัญหาโครงสร้างที่ยังไม่ดี จึงต้องดูแลเพื่อให้ข้อต่อเชื่อมกันดีขึ้น

“เราพยายามตอบสนองนโยบายการกระจายอำนาจ คือ ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน ด้วยการใช้สิทธิ 30 บาทเจ็บป่วยรักษาได้ทุกที่ เพื่อเป็นการลดอำนาจ สธ. กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และเพิ่มอำนาจให้ประชาชน เบื้องต้นจะทำแซนด์บ็อกซ์ 1 เขตสุขภาพ คือ กรุงเทพมหานคร ให้ผู้บริการมีความยืดหยุ่น และเพื่อให้เกิดการบริหารบุคคลและทรัพยากร” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า 4.ระบบบริการก้าวหน้า ยกระดับสู่ Innovative Healthcare Management ที่จะต้องเน้นย้ำเรื่องการดูแลสุขภาพ(Healthcare) มากกว่าการรักษาสุขภาพ(Sickcare) เพื่อให้เป็นปีของสุขภาพ เป็นผลจากการที่เราไปดูแลเขาให้มีสุขภาพที่ดี พลิกโฉมเขตสุขภาพ เปลี่ยนจากตั้งรับเป็นเชิงรุก ซึ่งจะดำเนินการในอย่างน้อย 1-3 เขต ที่มีความพร้อม มีศักยภาพ และ 5.บริหารด้วยหลักธรรมาภิบาล เพราะในกระทรวงฯ มีคนมากและมีความซับซ้อน จึงอยากเน้นย้ำการพัฒนาบุคลากร ให้มีความต่อเนื่อง ด้วยการสร้างคนรุ่นใหม่ หรือ อัศวินสธ. ขับเคลื่อนค่านิยมการขับ “รัก สามัคคี มีวินัย ใฝ่ใจสาธารณสุข”

“เราจะต้องขับเคลื่อนค่านิยม รัก สามัคคี มีวินัย ด้วยการใช้จุดดีของทุกหน่วยมาร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กระทรวง ผมจะลงพื้นที่ให้เกิดการเชื่อมโยงทุกมิติ และเพื่อลดระยะห่างในหน่วยงาน พร้อมส่งเสริมวินัยภายในตน วินัยต่อเพื่อนร่วมงาน วินัยต่อผู้บังคับบัญชา หากเราทำได้ก็จะเกิดเป็นพลังให้กับเรา เพื่อให้เราไปดูแลสาธารณสุขของประชาชน ให้เกิดความสุขที่เกิดจากการได้ดูแลผู้อื่น” ปลัดสธ. กล่าว
///////////////////////////////////////////////

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image