1พ.ย. บัตรทอง โฉมใหม่ 3.7ล้านคน กทม.รักษาทุกที่

กรณีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเลิกสัญญากับคลินิกชุมชนอบอุ่นกว่า 190 แห่ง ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สร้างแรงสั่นสะเทือนกับระบบบริการสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ยกเครื่องระบบการจัดการกันใหม่ทั้งหมด เพื่อให้คนกรุงเทพฯสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มอบนโยบายให้ใช้โอกาสนี้เขย่าระบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่ กทม. เพื่อปฏิรูประบบการให้บริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม โดยเรียกสั้นๆ ให้เข้าใจได้ง่ายว่า ”30 บาท รักษาทุกที่”Ž

นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัด กทม.กล่าวว่า ในระยะนี้ที่ สปสช.ยกเลิกหน่วยบริการปฐมภูมิ และกำลังอยู่ระหว่างหาคลินิกเข้าร่วมให้บริการ ทำให้มีผู้มารับบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม.มากขึ้นประมาณร้อยละ 50 ดังนั้น ต้องขออภัยหากได้รับความไม่สะดวก หรือต้องรอนานขึ้นในช่วงนี้ ซึ่ง กทม.ได้หามาตรการรองรับต่างๆ เช่น การจ้างแพทย์ที่เกษียณแล้วมาช่วยตรวจ หรือขยายเวลาตรวจให้มากขึ้น เป็นต้น

“ขณะเดียวกันในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิใน กทม.ใหม่ ซึ่งในรูปแบบใหม่นี้จะบริหารแบบ Area Base หรือการยึดพื้นที่เป็นหลักเพื่อให้ผู้บริหารจัดการสามารถรู้สภาวะในพื้นที่และทำโครงการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น เขตสัมพันธวงศ์ มีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุด การจัดกิจกรรมด้านสุขภาพก็จะจัดให้สอดคล้องกับโรค หรือภาวะสุขภาพและแตกต่างจากเขตอื่นๆ เป็นต้นŽ” รองปลัด กทม.กล่าว

Advertisement

นพ.ชวินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันในพื้นที่ กทม.มีหน่วยบริการกว่า 4,000 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นคลินิกเวชกรรมกว่า 2,000 แห่ง คลินิกเฉพาะทางอีกกว่า 200 แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นคลินิกในรูปแบบอื่นๆ ซึ่ง สปสช.อยู่ระหว่างเชิญชวนหน่วยบริการเหล่านี้เข้ามาเป็นเครือข่ายร่วมดูแลประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ส่วนศูนย์บริการสาธารณสุขในแต่ละเขตก็จะเป็นแม่ข่ายในการจัดการสุขภาวะของประชาชนในพื้นที่ โดยทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยบริการที่อยู่ในเครือข่าย ช่วยแนะนำสนับสนุนการทำงานของคลินิกเหล่านี้ให้อยู่ในระบบที่กำหนด


“ต้องแยกเรื่องรักษากับการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ในด้านการรักษา คลินิกส่วนใหญ่เน้นเรื่องการรักษาอยู่แล้ว ตอนนี้เราพยายามให้คลินิกเข้ามาในระบบการรักษาก่อน แต่ความหมายของพี่เลี้ยงคือการดึงข้อมูลเข้ามาเพื่อให้ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม.รู้สุขภาวะของประชาชนในพื้นที่ และให้คำแนะนำในกรณีที่คลินิกติดขัดหรือมีความไม่เข้าใจบางอย่างเกิดขึ้น ตลอดจนเป็นผู้นำในการ organize หรือบริหารจัดการเครือข่ายในการทำกิจกรรม หรือโครงการด้านสุขภาพต่างๆ ด้วย”Ž นพ.ชวินทร์ กล่าว

รองปลัด กทม. กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากหน่วยบริการปฐมภูมิแล้ว ในระบบใหม่จะมีคลินิกเฉพาะทางเข้ามาร่วมเป็นหน่วยร่วมบริการ ดังนั้น ประชาชนจะสามารถเข้าถึงคลินิกพิเศษเฉพาะทางได้เลยโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอเฉพาะทางในโรงพยาบาล และในส่วนของการส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ กทม.ได้แบ่งพื้นที่เป็น 6 โซน และแต่ละโซนจะมีโรงพยาบาลประจำโซนเพื่อรับส่งต่อประชาชนในกลุ่มเขตนั้นๆ ด้วย

Advertisement

“กทม.รู้สึกภูมิใจที่มีโอกาสดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน เพียงแต่ที่ผ่านมาศักยภาพของ กทม.เพียงลำพังไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด เมื่อมี สปสช.เข้ามาหนุนเสริมการทำงานก็ทำให้เราสามารถดูแลประชาชนได้ครอบคลุมมากขึ้น”Ž นพ.ชวินทร์ กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า ในอดีตประชาชนต้องไปลงทะเบียนหน่วยบริการประจำกับคลินิกเดียว แล้วไปใช้บริการที่คลินิกนั้น แต่ในระบบใหม่จะเปลี่ยนระบบการทำงานเป็นเครือข่าย คลินิกไม่ได้ทำงานเดี่ยวๆ อีกต่อไปแล้ว โดยในเครือข่ายจะมีศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม.เป็นแม่ข่าย และมีอีก 2 ส่วนอยู่ในเครือข่ายด้วย คือหน่วยบริการปฐมภูมิ ซึ่งก็คือหน่วยบริการปกติที่ประชาชนไปลงทะเบียนเป็นหน่วยบริการประจำ และที่เพิ่มเข้ามาคือหน่วยร่วมบริการ เป็นคลินิกที่อาจให้บริการเฉพาะบางช่วงเวลา หรือคลินิกเฉพาะทางต่างๆ ซึ่งเข้ามาเป็นเครือข่ายทำงานร่วมกัน แล้วประชาชนสามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ในเครือข่ายนี้

นพ.จเด็จ กล่าวว่า ระบบนี้จะนำร่องในพื้นที่ กทม.ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการรับสมัครคลินิกเอกชนเข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย ซึ่งคลินิกที่สนใจสามารถเข้าร่วมได้ 2 ลักษณะคือ เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ หมายความว่า ต้องดูแลประชากรในพื้นที่ เช่น ออกไปเยี่ยมบ้าน ไปดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เป็นต้น และอีกส่วนคือ หน่วยร่วมบริการ เช่น คลินิกเฉพาะทาง หรือเปิดบริการไม่ถึง 56 ชั่งโมงต่อสัปดาห์

“ขณะเดียวกัน สปสช.ยังปรับระบบการจ่ายเงิน โดยหน่วยบริการปฐมภูมิจะมีวงเงินงบประมาณเหมาจ่ายตามจำนวนประชากรและรับค่าบริการตามการให้บริการที่กำหนด (fee Schedule) ส่วนหน่วยร่วมบริการจะได้เงินจาก สปสช.โดยตรงตามรายการที่ให้บริการแก่ผู้ป่วย โดย สปสช.จะกำหนดราคาในรายการยา เวชภัณฑ์ ตรวจทางห้องปฏิบัติการ (แล็บ) และหัตถการต่างๆ แล้วมาเบิกตรงได้เลย เหมือนที่เคยเก็บจากประชาชน เพียงแต่เปลี่ยนมาเก็บจาก สปสช.แทน ดังนั้น ในมุมของผู้ให้บริการก็จะสะดวก เพียงสมัครเข้ามา เมื่อมีผู้ไปรับบริการ สปสช.ก็ตามไปจ่ายให้ แต่ในความเป็นเครือข่าย ทางศูนย์บริการสาธารณสุขก็จะลงไปให้คำแนะนำและดูแลเรื่องคุณภาพด้วย”Ž รองเลขาธิการ สปสช.ระบุ

นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของประชาชนนั้น กลุ่มที่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพใน กทม.มี 3.7 ล้านคน ในจำนวนนี้ 1.7 ล้านคน มีหน่วยบริการประจำแล้ว ถ้าอยู่ในกลุ่มนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนอีก 2 ล้านคนที่เหลือเป็นสิทธิว่าง เพราะหน่วยบริการประจำถูกยกเลิก ขณะนี้สามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ แต่ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ จะมีคลินิกใหม่มารองรับ

“ถามว่าประชาชนกลุ่มนี้ วันที่ 1 พฤศจิกายน ต้องทำอะไรบ้าง ผมขอตอบว่าท่านก็ไม่ต้องทำอะไรเช่นกัน เพราะ สปสช.มีข้อมูลอยู่แล้วว่าท่านเคยลงทะเบียนกับหน่วยบริการประจำไว้ที่ไหน ดังนั้น เมื่อ สปสช.สามารถจัดหาคลินิกรายใหม่มาร่วมเป็นเครือข่ายได้แล้ว เราจะลงทะเบียนหน่วยบริการใหม่ให้ท่านให้อยู่ใกล้คลินิกเดิมมากที่สุด สะดวกที่สุด ดังนั้น วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ 2 ล้านคนนี้ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องวิ่งไปลงทะเบียนที่ไหน สามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ ทางหน่วยบริการจะดูให้ว่าหน่วยบริการประจำของท่านอยู่ที่ไหน และสามารถไปรับบริการได้ในครั้งต่อไป หรือจริงๆ ก็ไปรับบริการที่หน่วยอื่นก็ได้ เพียงแต่โดยธรรมชาติของคนเรา ย่อมอยากไปรับบริการใกล้บ้านและอยากมีหมอประจำครอบครัว เพื่อดูแลให้คำปรึกษาในระยะยาว และถ้าไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้เช่นกัน”Ž นพ.จเด็จ กล่าว

รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวด้วยว่า ในส่วนของโรงพยาบาลรับส่งต่อนั้น ในอดีตเมื่อประชาชนลงทะเบียนหน่วยบริการปฐมภูมิก็มักมองไปที่หน่วยบริการรับส่งต่อด้วยว่าจะได้โรงพยาบาลไหน แต่หลังจากนี้อยากให้ประชาชนมองไปที่หน่วยบริการปฐมภูมิใกล้บ้านก่อนว่า แทนที่จะไปได้ที่เดียว ก็ไปรับบริการได้ทุกที่ในเครือข่ายบริการนั้น และถ้าจำเป็นต้องส่งต่อ ก็จะมีโรงพยาบาลรับส่งต่อเบื้องต้น แล้วถ้าโรงพยาบาลรับส่งต่อไม่สามารถรักษาได้ ก็จะหาโรงพยาบาลระดับ super tertiary หรือโรงพยาบาลระดับสูงกว่าตติยภูมิ เช่น โรงเรียนแพทย์ มารองรับให้เอง ซึ่งก็ขอเชิญชวนโรงพยาบาลเอกชนด้วย หากมีเจตจำนงในการดูแลประชาชนในพื้นที่ก็สามารถสมัครเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อได้ โดย สปสช.จะจ่ายอย่างน้อย 8,350 บาทต่อ AdjRW หรือค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ของโรค ซึ่งเชื่อว่าจะดึงดูดโรงพยาบาลเอกชนให้เข้าร่วมมากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image