ที่มา | น.19 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 3 ธ.ค.2563 |
---|
ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าแรงงานข้ามชาติจำนวนมมาก มีทั้ง ถูก และ ผิด กฎหมาย ยังไม่นับรวมแรงงานนอกระบบที่เป็นคนไทยและต่างชาติอีกกว่า 20 ล้านคน ในจำนวนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เข้าไม่ถึงสิทธิการคุ้มครองแรงงานในหลายๆ ด้าน จึงก่อให้เกิดการผลักดันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กระจายความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย
ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และภาคีเครือข่าย จัดเสวนา การคุ้มครองลูกจ้างทำงานบ้านและแรงงานในภาคเกษตร เวทีถกประเด็นการเข้าถึงสิทธิของแรงงานข้ามชาติและนอกระบบ เพื่อนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน
นายสุเทพ อู่อ้น ประธานคณะกรรมาธิการแรงงาน กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่าแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ในฐานะแม่บ้าน หรือที่เราเข้าใจกันว่าคนรับใช้ ไปจนถึงแรงงานภาคเกษตรกรรม ได้เกิดการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการเข้าถึงสิทธิ เพราะที่ผ่านมา กฎหมายที่คุ้มครองแรงงานเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน บางรายทำงานตามฤดูกาลเกิดความติดขัดเรื่องการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมที่ไม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีแรงงานนอกระบบที่หมายรวมถึงคนไทยเองกว่า 20 ล้านคน แรงงานข้ามชาติอีก 2 ล้านคน ในจำนวนนี้ยังมีแรงงานใต้ดินอีกมหาศาล ที่เราเองต้องมีการยกระดับในการที่จะเอาเขาเหล่านั้นขึ้นมานั่งบนดินโดยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หลังจากนี้จะต้องเกิดการร่างกฎหมายแรงงานนอกระบบอย่างจริงจัง และจะต้องทำให้บรรลุผลในปี 2564
“กฎหมายคุ้มครองแรงงานข้ามชาติปัจจุบันยังดูแลไม่ทั่วถึงทุกอาชีพ ยังพบความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมเรื่องการจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงาน และสิทธิการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ สิ่งเหล่านี้สะท้อนปัญหาทางสุขภาวะชัดเจน ทำให้ขณะนี้อยู่ระหว่างปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านแรงงานพิจารณายกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. … มาดูแลแรงงานนอกระบบที่มีอยู่ประมาณ 22 ล้านคน ให้เหมือนลูกจ้างในระบบ ตั้งเป้าภายในปี 2564 อาชีพอิสระ อาทิ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ขนส่งดิลิเวอรี งานฟรีแลนซ์ แท็กซี่รับจ้าง จะต้องมีกฎหมายคุ้มครองดูแล” นายสุเทพกล่าว
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า แรงงานข้ามชาติที่ประกอบอาชีพในเมืองไทยมีความรู้ด้านการดูแลสุขภาพน้อย ยกตัวอย่างการลงพื้นที่เก็บข้อมูลแรงงานชาวเมียนมา 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง สมุทรสาคร ชลบุรี และหนองคาย จำนวน 850 คน ของ สสส.กับมหาวิทยาลัยมหิดล พบแรงงานร้อยละ 61.88 ไม่มีความรู้ด้านสุขภาพ มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ส่งผลกระทบกับร่างกาย ไม่เข้าใจสิทธิสวัสดิการที่ควรจะได้รับ และบางคนยังเข้าไม่ถึงการรักษาในโรงพยาบาล จึงเป็นที่มาของการพัฒนาเครื่องมือสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ใช้ชื่อว่า หลักสูตรอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว หรือ อสต. ในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมทั้งมีล่ามแปลภาษา เพิ่มศักยภาพในการส่งผ่านข้อมูลถึงแรงงานข้ามชาติในพื้นที่นำร่อง 13 จังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ควบคู่กับการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพและความปลอดภัยของแรงงานข้ามชาติกลุ่มจ้างงานชั่วคราวและตามฤดูกาล
“กฎหมายด้านแรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังคุ้มครองแรงงานข้ามชาติไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพและไม่เพียงพอ เพราะยังมีการกำหนดนิยามที่เกี่ยวข้องในลักษณะแคบ จนทำให้แรงงานที่ควรต้องได้รับการคุ้มครองตกหล่นไปจากระบบ เช่น แรงงานภาคเกษตร ทำงานบ้าน และเมื่อแรงงานถูกทำให้มองไม่เห็นในระบบการจ้างงาน จึงส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำและส่งผลกระทบต่อสภาวการณ์ด้านสุขภาพที่แรงงานต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นด้วยตนเอง” นางภรณี กล่าว
ด้าน นายมนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน กล่าวว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงานปัจจุบันยังมีช่องโหว่เรื่องการดูแลลูกจ้างชาวไทยและแรงงานข้ามชาติบางอาชีพ ที่เห็นชัดที่สุดคือ แรงงานกลุ่มเกษตรกรรมและทำงานบ้าน จึงเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 14 พ.ศ.2555 เพิ่มสิทธิ สวัสดิการดูแลแรงงานกลุ่มนี้ให้เท่าเทียมกับคนที่ทำอาชีพอื่น เพราะหากรอกฎหมายฉบับใหม่ อาจจะใช้ระยะเวลานานเกินไป อาจกระทบต่อสุขภาวะของคนที่หาเช้ากินค่ำ และการปรับปรุงกฎกระทรวงช่วยเหลือแรงงานจะต้องมองลึกไปถึงอาชีพอื่นๆ และแรงงานทุกชาติ ไม่ใช่แค่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา โดยที่ไม่เลือกปฏิบัติ
“ส่วนที่ 1 แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในระบบตามกฎหมายมาตรา 33 มีอยู่ประมาณ 2 ล้านคนเศษ ซึ่งมีสิทธิเท่ากับคนไทยทั้งหมด ส่วนที่ 2 เป็นแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย มีราว 2 ล้านคน ซึ่งรวมแล้วแรงงานข้ามชาติทั้งหมด ประมาณ 4 ล้านคน ส่วนที่ 3 แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีถิ่นอาศัยถาวรในไทย ซึ่งเป็นผู้ถือบัตรสุขภาพ เพื่อให้มีสิทธิรักษาพยาบาลในไทย เช่น แม่บ้าน แรงงานเกษตร ฯลฯ โดยสิ่งที่กังวลที่สุดคือ แรงงานบางคนมีสิทธิแต่เข้าไม่ถึงสิทธิ” นายมนัส กล่าว
นายมนัส กล่าวว่า จะเห็นว่าขณะนี้มีแรงงานข้ามชาติ 2 กลุ่ม ที่ยังถูกกฎกระทรวงแรงงานยกเว้นในการเข้าถึงประกันสังคมอยู่ คือ แรงงานเกษตร ที่เป็นการว่าจ้างตามฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้ยากต่อการหานายจ้างรับรอง และงานทำความสะอาด ที่ในบางครั้งอาจจะทำหน้าที่ที่มากกว่างานบ้าน ในขั้นตอนจึงจะต้องมีการระบุและให้คำนิยามที่ชัดเจนเพื่อการร่างแก้กฎหมาย โดยจะต้องผ่านการตกผลึกจากทุกฝ่าย ทั้งนี้ หลักสำคัญของกฎหมายแรงงานระบุว่า การจะเข้าถึงประกันสังคมได้จะต้องมีนายจ้างและลูกจ้าง อย่างน้อย 1 คน ดังนั้น จึงต้องมีการขับเคลื่อนให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ สามารถเข้าถึงประกันสังคมมาตรา 33 ได้ ด้วยการแก้กฎกระทรวง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน
ทั้งนี้ มี 2 เสียงของฝั่งแรงงานข้ามชาติจากทั้งหมดกว่า 4 ล้านคน เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ด้วย
นายวี แรงงานสัญชาติเมียนมา ภาคการเกษตร (ในระบบ) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เข้าประกันสังคมมาตรา 33 ต้องใช้การซื้อบัตรประกันสุขภาพแทน แต่มองว่าสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมมีมากกว่า เช่น บัตรประกันสุขภาพไม่คุ้มครองค่ารักษาการบาดเจ็บจากการทำงาน จึงพยายามเข้าระบบประกันสังคมโดยใช้เวลากว่า 10 ปี กระทั่งปัจจุบันที่มีการขับเคลื่อนให้แรงงานข้ามชาติสามารถเข้าสิทธิประกันสังคมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง แต่ก็พบปัญหาที่ทำให้แรงงานข้ามชาติยังไม่เข้าสู่ระบบ คือ 1.นายจ้างกลัวเสียเงินสมทบประกันสังคม 2.แรงงานเองยังไม่มีความเข้าใจในระบบประกันสังคม เกิดความกังวลและคิดว่าไม่อยากยุ่งยาก
“ตอนนี้ มีทั้งคนอยากเข้าและไม่อยากเข้า คนที่เข้าใจในสิทธิประโยชน์ก็อยากเข้า ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็ไม่อยากเข้า” นายวีกล่าว
ขณะที่ นางจำปา แรงงานสัญชาติเมียนมา อาชีพแม่บ้าน (นอกระบบ) กล่าวว่า ตอนทำงานอาชีพแม่บ้านมาร่วม 28 ปี ซึ่งโดยอาชีพแล้วไม่สามารถเป็นแรงงานในระบบได้ และเข้าไม่ถึงสิทธิประกันสังคม จึงอยากเรียกร้องให้เปิดกว้าง เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองแรงงานตามกฎหมาย เช่น การกำหนดเวลาทำงาน ค่าแรงขั้นต่ำ การเข้าถึงบริการสุขภาพ
“ตอนนี้เราไม่อยู่ในกฎหมาย นายจ้างจะจ้างแค่ 5,000 บาทต่อเดือนก็ได้ ซึ่งมีจำนวนมากที่อยู่ในกลุ่มนี้ บางคนทำงาน 18 ชั่วโมงก็มี ตื่นตี 5 นอน 4 ทุ่ม ก็มี เพราะกฎหมายไม่ได้คุ้มครองเรา และนายจ้างก็ไม่ผิด” นางจำปากล่าว