เฮ้ง รับ 12ข้อเรียกร้องแรงงานนอกระบบ ยันรัฐบาลจริงใจให้สวัสดิการ-ช่วยให้มีอาชีพ
วันนี้ (7 ธันวาคม 2563) นายสมคิด ด้วงเงิน ประธานสมาพันธ์แรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) และเครือข่ายแรงงานนอกระบบประมาณ 300 คน เข้าพบ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อยื่นข้อเรียกร้องเรื่อง “การฟื้นฟูแรงงานนอกระบบจากโควิด -19” โดยมี นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมรับข้อเสนอดังกล่าว ที่ห้องกลุ่มงานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กระทรวงแรงงาน
นายสุชาติ กล่าวว่า สำหรับข้อเรียกร้องที่เสนอกระทรวงแรงงานผ่านไปยังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มิได้นิ่งนอนใจ ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของแรงงานทุกกลุ่มเหมือนคนในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ ถือเป็นกลุ่มแรงงานขนาดใหญ่ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
“นายกฯ ได้กำชับมาโดยตลอดว่า ทำอย่างไรให้แรงงานนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบได้มากที่สุด วันนี้ที่ทำได้คือ นำแรงงานนอกระบบเข้ามาเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ในวันนี้เมื่อกลุ่มแรงงานนอกระบบได้รับความเดือดร้อน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ลงมารับหนังสือข้อเรียกร้องด้วยตนเอง” สุชาติ กล่าวและว่า สำหรับข้อเรียกร้องต่างๆ หลายเรื่องได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ กองทุนรับงานไปทำที่บ้าน การหารือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อคืนพื้นที่ทางการค้าเพื่อการประกอบอาชีพแก่แรงงานนอกระบบ การจ้างงานอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น ของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ตำบลละ 2 คน การรักษาการจ้างงานแรงงานในระบบกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 การจัดทำแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการขายสินค้าและบริการของแรงงานนอกระบบ การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ดีขึ้น
นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่นายกฯ เป็นคนคิดให้กระทรวงการคลังไปทำการบ้าน และนายกฯ ได้เพิ่มจำนวนให้อีกเป็นเฟส 2 และเพิ่มจำนวนเงินให้อีก ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท การคุ้มครองทางสังคมที่เท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสถานการณ์วิกฤตจากโควิด-19
“ส่วนข้อเรียกร้องที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ การสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนการประกอบอาชีพอิสระเพื่อให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงทุน ให้ฝ่ายเลขาฯ เชิญผู้แทนกระทรวงการคลังเข้ามาร่วมหารือ การขอลดเงินสมทบมาตรา 40 ในระบบประกันสังคม มอบหมายให้ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดประกันสังคม ร่วมพิจารณาความเป็นไปได้ ให้มีการประกันการมีงานทำ ให้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้ สปส.ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณาหารือในรายละเอียดเพื่อให้ได้ข้อสรุปต่อไป เป็นต้น” นายสุชาติ กล่าว
สำหรับข้อเรียกร้องของสมาพันธ์แรงงานนอกระบบฯ ที่ขอยื่นต่อรัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อเรียกร้องนโยบายแรงงานนอกระบบที่ดีกว่าเดิม ได้แก่ 1.ขอให้รัฐสนับสนุนให้มีกองทุนประกอบอาชีพอิสระแรงงานนอกระบบ เพื่อให้แรงงานนอกระบบทุกกลุ่มได้เข้าถึงความช่วยเหลือด้านทุนการประกอบอาชีพ 2.ขอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การให้เงินกู้สำหรับกองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน 3.คืนพื้นที่ทางการค้าขายเพื่อการประกอบอาชีพให้แก่แรงงานนอกระบบ 4.ให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงการจ้างงาน workfare เพื่อจ้างงานแรงงานที่ทำงานบริการสาธารณะ
5.ให้มีการประกันการมีงานทำแก่แรงงานนอกระบบอย่างน้อย 10 วันต่อเดือน โดยได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 6.ให้รัฐรักษาการจ้างงานแรงงานในระบบกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโควิด–19 โดยอุดหนุนค่าจ้างในลักษณะร่วมจ่ายแบบ Co – Payment ในกิจการขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อป้องกันการผลักแรงงานออกมาเป็นแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้น 7.โครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ต้องจัดสรรโควตาให้แก่แรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากโควิด–19 อย่างน้อยร้อยละ 30 8.ให้จัดสรรงบประมาณแก่กลุ่มแรงงานนอกระบบให้สามารถยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน สนับสนุนการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการขายสินค้าและบริการของแรงงานนอกระบบ
9.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐทุกมาตรการ ทั้งเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง และอื่นๆ ต้องครอบคลุมสินค้าและบริการของแรงงานนอกระบบ 10.ต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ดีขึ้นเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพในตลาดแรงงานใหม่หลังโควิด–19 ได้ 11.ต้องการคุ้มครองทางสังคมที่เท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสถานการณ์วิกฤตจากโควิด–19 รวมถึงวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต และ 12.ในการดำเนินการตามข้อเสนอทุกข้อ ต้องให้มีการมีส่วนร่วมและกำกับติดตามจากสมาพันธ์แรงงานนอกระบบฯ ภาคประชาสังคม และภาคีวิชาการ เพื่อให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
