“ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์” แห่ง “นาซา-เจพีแอล” ชี้แค่ 7 ปี ยากที่ยานไทยไปดวงจันทร์

ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ แห่ง “นาซา-เจพีแอล” ชี้แค่ 7 ปี ยากที่ยานไทยไปดวงจันทร์

 ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์  คนไทยที่ทำงานในองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ในตำแหน่งผู้จัดการโครงการออกแบบประกอบและติดตั้งเครื่องรับสัญญาณยานอวกาศจากนอกโลกของห้องปฏิบัติการจรวดขับดัน (Jet Propulsion Laboratory-JPL)

ระยะเวลากว่า 37 ปี ที่ ดร.ธวัชทำงานอยู่ที่นั่น แม้เวลานี้จะมีอายุล่วงเข้าปีที่ 70 แล้วก็ตาม แต่ด้วยสุขภาพร่างกายยังแข็งแรง ปฏิบัติงานได้เต็มกำลังความสามารถ นาซาจึงยังให้ปฏิบัติงานเต็มเวลา ขณะที่เพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกันเกษียณอายุออกไปเกือบหมดแล้ว ทั้งนี้ ดร.ธวัชยังคงกลับมายังประเทศไทยสม่ำเสมอ เพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการ และพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกับนักวิชาการชาวไทย

ล่าสุด หลังจากเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกักตัวตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เป็นเวลา 14 วันแล้ว  “มติชน” ได้มีโอกาสสนทนากับ ดร.ธวัช ดังบทสนทนาต่อไปนี้

 อาจารย์ทำงานที่ NASA-JPL มานานเท่าไหร่ และทำงานด้านไหน 

ADVERTISMENT

ผมทำงานที่ห้องปฏิบัติการพลังไอพ่นเพื่อการขับเคลื่อน (Jet Propulsion Lab) ที่คนทั่วไปเรียกว่า JPL หรือ NASA – JPL ทำงานที่นี่มานาน 37 ปีแล้ว JPL เป็น 1 ใน 10 ของ NASA Center JPL อยู่ที่ Pasadena, California รับผิดชอบงานสำรวจอวกาศด้วยยานอวกาศที่ไร้คนขับ การสำรวจของ NASA เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์จนถึงดาวพูลโตและออกนอกระบบสุริยะมาจาก JPL ทั้งหมด ที่คนไทยรู้จักกันดี เช่น ส่งยานลงดาวอังคาร

ช่วง 37 ปี ผมได้มีโอกาสทำงานเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่วิจัยพัฒนางาน ออกแบบจานเสาอากาศ เป็นหัวหน้าทีมออกแบบ ผลิต ทดสอบ และติดตั้งชิ้นส่วนของระบบสื่อสาร เป็น project manager และตอนนี้ เป็น R&D Manager ส่วนงานออกแบบก็ยังทำอยู่

ADVERTISMENT

 อาจารย์ได้เข้าร่วมโครงการส่งยานไปดวงจันทร์ Artemis ของ NASA ด้วยไหม

เขาดึงผมเข้าไปร่วมทีมเต็มที่ตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นหัวหน้าทีมออกแบบ ผลิต ทดสอบ และติดตั้งบางชิ้นส่วนของระบบสื่อสาร และต้องติดตั้งให้เสร็จภายในปี 2023 งานประจำผมก็ยังมีอยู่ เลยงานล้นมือครับ งานออกแบบและผลิตที่สำคัญจะเป็นการคัดเลือก (hand pick) คน ผมเองรับงานมาแล้ว ก็ต้องเลือกคนที่เก่งที่สุด มาช่วยด้วย งานจึงจะสำเร็จ

ตอนนี้คนไทยกำลังฮือฮาเรื่องที่ รมว.อุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกมาบอกว่า ประเทศไทยจะส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ภายในเวลา 7 ปี อาจารย์มีความเห็นอย่างไร คิดว่าขีดความสามารถของนักวิจัยไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมากน้อยแค่ไหน

ผมทราบขีดความสามารถของนักวิจัยไทยดีพอควร เพราะว่าระหว่างทำงานที่ JPL ผมได้ใช้เวลาว่างทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยไทยตั้งแต่ปี 1991 จนถึงปี 2018 ในหลายๆสาขา ทั้งโครงการขนาดเล็กจนถึง program ขนาดใหญ่ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม พยากรณ์คลื่น กระแสน้ำ ยาและเคมีภัณฑ์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) โดยเน้นการนำไปใช้งานจริง บางโครงการพยายามผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด เป็นการวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ รายละเอียดมีเยอะครับพูดตอนนี้คงไม่จบ

โดยภาพรวม ผมเชื่อว่านักวิจัยไทยมีความเก่งพอๆ กับของต่างประเทศ แต่ประสบการณ์จะน้อยกว่าเขามาก เพราะส่วนใหญ่เราจะเป็นผู้ใช้ และผู้ให้บริการมาตลอด การวิจัยพัฒนาจนให้ได้เป็น product ที่ได้มาตรฐานสากล (meet international standard) นั้น พูดง่ายแต่ทำยาก คนที่เคยมีประสบการณ์ทำมาแล้วจะรู้ดี เป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยจะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ให้ได้ภายใน 7 ปี

ถ้าจะทำแบบซื้อระบบสำคัญมาประกอบ ทดสอบ และส่งให้ประเทศอื่นส่งให้ แล้วไทยเข้าไปควบคุมและติดตามผล ประเทศไหนที่มีเงินมากพอ ทำได้แน่ เช่น ประเทศยูเออี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ที่กำลังทำอยู่ แต่เท่าที่ฟังท่านรัฐมนตรีพูด ท่านระบุชัดว่าไทยจะทำยานอวกาศเองเกือบทั้งหมดและส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ให้เสร็จภายใน 7 ปี ในกรณีนี้ในทรรศนะของผม โอกาสที่จะสำเร็จต่ำมาก เหตุผลก็คือ 1.ประสบการณ์ของไทย ทางด้านการออกแบบการผลิต hardware และ software ของยานอวกาศ ยังมีไม่เพียงพอ และไม่สามารถเรียนรู้กันได้ง่ายๆ ในเวลาอันสั้น 2.อย่างที่ทราบคุณภาพ quality และความเชื่อถือได้ (reliability) ของอุปกรณ์สำหรับยานอวกาศต้องผ่านระดับมาตรฐานอวกาศ (space-grade) ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทางทหาร (military-grade) และยิ่งสูงกว่ามาตรฐานเชิงพาณิชย์ของสินค้าที่วางขายทั่วไป (Commercial Off the Shelf-COTS) หลายเท่านัก ประเทศไทยจะมี เวลาและกำลังทรัพย์มาพัฒนาขีดความสามารถด้านนี้ให้สำเร็จล่วงหน้าก่อนกำหนด 7 ปีหรือ

3.การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ของห้องปฏิบัติการปลอดฝุ่น (clean room lab) เพื่อทำการทดสอบส่วนประกอบ การทดสอบระบบ และการทดสอบการเข้ากันได้ของระบบ (component test, subsystem test, integration test) จำนวนมากของทุกระบบ เช่น  ระบบควบคุมและบัญชาการ การนำร่อง ระบบรับส่งข้อมูล Telemetry, Command & Control Navigation, Uplink, Downlink ฯลฯ จะทำได้เสร็จภายใน 3-5 ปี หรือ 4.มีข่าวว่าจะใช้เครื่องยนต์ที่ใช้อะตอมที่มีประจุ (ion engine) เหมือนอย่างที่ NASA-JPL ได้เคยทดลองใช้กับยานอวกาศชื่อ Deep Space 1 และ DAWN ส่วนยานอวกาศอื่นๆ ของ NASA จะใช้เครื่องยนต์เคมี (Chemical Engine) หรือเครื่องยนต์นิวเคลียร์ (Nuclear Isotope Engine) ไม่ว่าทีมไทยจะเลือกใช้เครื่องยนต์ (engine) แบบไหน ความเสี่ยงยังคงเหมือนเดิม 5.NASA สะสมความรู้ ประสบการณ์ความผิดพลาดและผลสำเร็จของสิ่งเหล่านี้มาเป็นเวลา 60+ ปี และถ่ายทอดความรู้ ให้คนทำงานรุ่นต่อมาเรื่อยๆ จึงทำให้งานสำเร็จได้ ถึงกระนั้นก็ยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้บ้างเป็นปกติ ส่วนประเทศไทยยังทำเครื่องบิน jet โทรศัพท์มือถือ (cell phone) computer ฯลฯ เองไม่ได้เลย ท่านผู้ฟังลองคิดดูเองเถิดว่าผลจะเป็นอย่างไรถ้าจะไปทำและส่งยานอวกาศ

6.NASA ประสบความล้มเหลวหลายครั้งในช่วงแรกๆ หากยานอวกาศไทยทำเสร็จ และเกิดล้มเหลวจะมีกำลังทำใหม่อีกครั้ง-สองครั้งหรือไม่ 7.เรื่องความคุ้มของการใช้งบ และการจะได้ยกย่องจากชาวโลกมากน้อยแค่ไหน จะไม่กล่าวในที่นี้เพราะคงมีการให้ความเห็นกันมากพอควรแล้ว ท่านนายกฯเป็นคนมีวิสัยทัศน์ดีผมเชื่อว่าท่านคงตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ถูกต้อง

“การที่ ศ.เอนก (เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) มีแนวคิดที่จะสร้างแรงจูงใจให้แก่คนไทยเพื่อให้ไปยังอวกาศหรือดวงจันทร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับเงินจำนวนเดียวกันนี้ที่จะนำมาใช้ทำสิ่งนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ดีกว่านี้ และให้ผลดีต่อประเทศ ถ้ามีโอกาสผมจะนำเสนอในคราวต่อไป”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image