คนไร้สถานะเฮ! ได้ตรวจดีเอ็นเอ รับสิทธิบัตรทองปีละกว่า 1.6 พันคน

คนไร้สถานะเฮ! ได้ตรวจดีเอ็นเอ รับสิทธิบัตรทองปีละกว่า 1.6 พันคน

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ร่วมกับ ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน จ.ปราจีนบุรี โรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ช่วยเหลือคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน จำนวน 10 ราย ให้เข้ามาทำการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้วยวิธีตรวจดีเอ็นเอ (DNA) ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยกระบวนการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) การดำเนินงานพัฒนาการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพของคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนของ 9 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย สปสช. ฯลฯ เพื่อบูรณาการความร่วมมือดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ยังเข้าไม่ถึงบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า บทบาทหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์คือ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชน ตาม พ.ร.บ.การให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ.2559 ซึ่งการตรวจดีเอ็นเอ จะมีประเด็นในเรื่องของบุคคลยากไร้ที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำให้บุคคลกลุ่มนี้ไม่ได้รับการดูแลไม่ได้รับสิทธิทั่วไปตามในฐานะประชาชนคนไทย ซึ่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้จัดหางบประมาณมาดำเนินการตรวจดีเอ็นเอให้คนกลุ่มนี้ โดยตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมามีการดำเนินการปีละประมาณ 1,600 ราย

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า ในการดำเนินการตรวจดีเอ็นเอในครั้งนี้เป็นการเดินทางเข้าตรวจที่กรุงเทพมหานคร แต่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยังให้บริการลงไปตรวจถึงในพื้นที่ โดยจะพิจารณาข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำมารวบรวมวิเคราะห์ว่ามีจำนวนมากพอสมควรแล้วจัดแผนในการเดินทางไปตรวจพื้นที่ให้

Advertisement

“ต้องขอบพระคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันทำให้การทำงานของคล่องตัวมากยิ่งขึ้นและสามารถทำให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้ได้มีความเสมอภาค” พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ น.ส.วรรณา แก้วชาติ ผู้ประสานงานโครงการ มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กล่าวว่า หลังจากที่มีการลงนามเอ็มโอยู เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 เครือข่ายภาคประชาชนได้อ้างอิงบันทึกความร่วมมือดังกล่าวในการช่วยเหลือผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียนให้มีบัตรประชาชนในหลายพื้นที่ โดยรายแรกอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ได้รับบัตรประชาชนหลังเกิดเอ็มโอยูแล้ว 15 วัน นอกจากนี้ ยังใช้อ้างอิงในการทำงานในอีกหลายพื้นที่ เช่น จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ จ.ตรัง จ.สตูล จ.สงขลา จ.เชียงใหม่ จ.สิงห์บุรี รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ ที่สมาชิกในเครือข่ายแจ้งข้อมูลเข้ามา

น.ส.วรรณา กล่าวว่า การมีเอ็มโอยูดังกล่าว ทำให้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐมากขึ้น เพราะมีหลักในการอ้างอิงและรองรับตัวตนของผู้ประสานงานให้ความช่วยเหลือแก่คนไร้สถานะ เจ้าหน้าที่จากกรมการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นสำนักทะเบียนภาค 3 ภาค 5 ภาค 7 รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนของมหาดไทยให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบสืบค้นข้อมูลเพื่อใช้ในการยืนยันตัวบุคคลเป็นอย่างดี หรือ สธ.และ สปสช. ก็พยายามผลักดันให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงบริการสาธารณสุขตลอดจนประสานกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ ให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ก็ช่วยเหลือในด้านอื่นๆ เช่น จัดหารถรับส่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องเข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ รวมทั้งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ช่วยตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้การเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สถานะบุคคลมีมากขึ้น ทำให้ปีที่ผ่านมา มูลนิธิมีเคสที่ให้ความช่วยเหลือ 136 ราย และได้บัตรประชาชน 67 ราย ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จพอสมควร

Advertisement

ด้าน น.ส.พรเพียร เภาเนือง นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า บุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนมักมีปัญหากับการรักษาพยาบาล เพราะไม่สามารถใช้สิทธิการรักษาอะไรได้ จะมาโรงพยาบาลก็ต่อเมื่ออาการรุนแรงและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง ซึ่งหากพบเคสลักษณะนี้ กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ก็จะพยายามค้นหาสิทธิให้คนไข้ พาไปปรึกษากับทางอำเภอเรื่องกระบวนการทำบัตรประชาชน ทางอำเภอก็จะแนะนำเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ และทำหนังสือขอรับความช่วยเหลือจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งรายล่าสุดที่พาไปตรวจดีเอ็นเอ มีทั้งผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกไต ต้องใช้ค่ารักษากว่า 3 แสนบาท มีเด็กเล็กที่มีปัญหาทางสถานะ ซึ่งโรงพยาบาลก็ได้ร่วมมือกับศูนย์ประสานงานภาคประชาชน จ.ปราจีนบุรี ช่วยประสานงานและจัดรถไปส่งที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image