อนุทิน ตอบปม จ.ปทุมฯ ปกปิดข้อมูลติดเชื้อโควิด-19 จี้ฝ่ายปกครองจัดการ
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สธ.ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งเป็นวัคซีนจากบริษัท ซิโนแวค แก่กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค ประชาชน ที่มีโรคประจำตัวตามเกณฑ์ที่กำหนด ประชาชนกลุ่มเสี่ยง และแรงงานในพื้นที่ ที่โรงพยาบาล (รพ.) ปทุมธานี อ.เมือง จ.ปทุมธานี
นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ได้ตรวจติดตามการฉีดวัคซีนเข็มแรกของประเทศไทย และการฉีดวัคซีนเข็มแรกใน จ.สมุทรสาคร กระบวนการเรียบร้อยดี ตามหลักการแล้ว วัคซีนในระยะเร่งด่วนต้องให้บริการแก่บุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุข เจ้าหน้าที่กลุ่มเสี่ยง และบุคคลที่เสี่ยงมีอาการรุนแรงหากติดเชื้อ ซึ่งประเทศไทยได้ดำเนินการไปตามหลักเกณฑ์นี้ การฉีดวัคซีนที่ผ่านมาถือเป็นการทดสอบระบบการให้บริการ ซึ่งจากนี้ประเทศไทยต้องให้บริการจำนวนมหาศาล จึงจำเป็นต้องรู้ว่าจะปรับปรุงการฉีดวัคซีนอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในอนาคต หลักการฉีดต้องครอบคลุม สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชากร ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในประเทศไทยย่อมมีสิทธิได้รับวัคซีน
“สำหรับประเทศไทย การฉีดวัคซีนเข็มแรกของประชาชน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐ และหากพบว่า ใครมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อแลกกับบริการนี้ ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หากพบเจอให้แจ้งเจ้าหน้าที่จัดการโดยเร่งด่วน จากนี้ ขอให้ประชาชนโหลดแอพพลิเคชั่นไลน์บัญชีทางการ หมอพร้อม ติดตัวไว้ เพื่อติดตามเรื่อการรับบริการวัคซีน” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนกรณีที่พบการปกปิดข้อมูลจนทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในจ.ปทุมธานี ให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของฝ่ายปกครองที่จะต้องไปดำเนินคดีตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่หยุดจัดหาวัคซีนมาให้บริการแก่คนไทยและไม่มีการปิดกั้นการขอขึ้นทะเบียน หากบริษัทไหนมีความพร้อมมั่นใจว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล มีความปลอดภัยมีเอกสารครบถ้วน สามารถนำมาขอขึ้นทะเบียนได้เลย ที่ผ่านมาประเทศไทยได้หารือกับเอกชนหลายราย และพร้อมพิจารณานำเข้าวัคซีนแต่ติดเงื่อนไขบางประการ เช่น เมื่อจ่ายเงินไปแล้ววัคซีนจะได้มาในช่วงปลายปี เท่ากับชนรอบ การได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตในยุโรป ซึ่งผลิตจากโรงงานไทย จึงต้องชะลอการตัดสินใจออกไป
