‘อนุทิน’ ยัน ไม่มี ‘ตั๋วหนู’ แต่งตั้งรองเลขาธิการ สพฉ.
กรณีพนักงานสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จำนวนหนึ่ง นัดแต่งชุดดำเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา แสดงสัญลักษณ์คัดค้านการแต่งตั้งรองเลขาธิการ สพฉ. ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเป็นการเปิดทางให้อดีตนักข่าวรายหนึ่งเข้าไปนั่งเก้าอี้ดังกล่าว และมี “ตั๋วหนู” นั้น
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งรองเลขาธิการ สพฉ.ที่ระบุว่านี่เป็นลักษณะ “ตั๋วหนู” ว่า ยืนยันว่าไม่มีตั๋วหนู
“หนูไม่ขายตั๋ว และส่วนตัวไม่ได้รู้จักกับนักข่าวคนไหนเป็นพิเศษ การสรรหาผู้บริหาร สพฉ.เป็นเรื่องของคณะกรรมการ ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร ให้อิสระในการแต่งตั้งคนอยู่แล้ว” นายอนุทินกล่าว
ด้าน นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการ สพฉ. ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สพฉ. โดยวิธีเฉพาะเจาะจง กล่าวชี้แจงว่า กรณีมีข้อสังเกตถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการแต่งตั้งรองเลขาธิการ สพฉ.ในช่วงเวลานี้ เนื่องจาก สพฉ.เป็นองค์กรที่รับผิดชอบงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินประเทศ ต้องมีการประสานความร่วมมือกับเครือข่ายต่างๆ ในปัจจุบัน ผู้บริหารระดับสูงซึ่งมี 4 ตำแหน่ง เหลือตนเพียงคนเดียวในตำแหน่งรองเลขาธิการ สพฉ.อาจไม่สามารถครอบคลุมงานทุกส่วนได้ทันท่วงที จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดรับผู้บริหารระดับสูงเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อช่วยงาน
“เวลานี้ คำสั่งของปลัด สธ. ในฐานะรักษาการเลขาธิการ สพฉ.ที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกบุคคลที่สมควรโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ไม่ได้มีการกำหนดว่าจะต้องทำให้แล้วเสร็จในวันที่เท่าไร แต่ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงถือว่าไม่ได้มีการเร่งรัดแต่อย่างใด” นพ.ไพโรจน์กล่าว
นพ.ไพโรจน์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 กรรมการหลายคนได้ประชุมหารือกัน มองว่างานใดองค์กรที่ยังต้องพัฒนา ก็มีเรื่องที่คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ได้เคยมีมติในที่ประชุม ให้ สพฉ. เน้นการพัฒนา 10 ประการ
นพ.ไพโรจน์กล่าวต่อว่า เรื่องสำคัญที่ กพฉ.เน้นคือการรีแบรนดิ้ง (Rebranding) สพฉ.อยากให้ภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นที่รู้จักและยอมรับในฐานะองค์กรสำคัญในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และทำให้ประชาชนเชื่อมั่น รวมถึงการประสานงานกับเครือข่าย โดยบุคคลที่กรรมการได้มองไว้คืออดีตผู้ช่วยเลขาธิการ สพฉ.ที่เพิ่งหมดวาระไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
“งานที่คณะกรรมการกำหนดคุณสมบัติ ก็เป็นบทบาท ภารกิจ และตำแหน่ง ที่ท่านได้ทำไว้อยู่แล้ว และต้องการความต่อเนื่อง และสามารถทำงานร่วมกับเลขาธิการ สพฉ.คนเดิมที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับตำแหน่งอีกครั้ง สำหรับความเหมาะสม อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนที่จะคิด ซึ่งมีกระบวนการรองรับอยู่แล้ว รวมถึงการแสดงวิสัยทัศน์และการตรวจรายละเอียดของเอกสาร
“บุคคลดังกล่าวถือว่ามีวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์ เช่น จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในด้านการสร้างกระบวนการสื่อสารสาธารณะ มีประสบการณ์ในการเป็นประธานและคณะกรรมการด้านการสื่อสารสาธารณะของหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ เคยเป็นผู้แทนประเทศไทยไปศึกษาดูงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ประเทศฝรั่งเศส รวมถึงเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในวิชาด้านสื่อสารมวลชน” นพ.ไพโรจน์กล่าว
นพ.ไพโรจน์กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ให้สามารถสรรหาบุคคลที่เหมาะสมเป็นการเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่งทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้