อนุทิน นำทีมถกกรมทรัพย์สินฯ ปมลิขสิทธิ์ยาฟาวิพิราเวียร์ เปิดทาง อภ.ผลิตใช้ใน ปท.

อนุทิน นำทีมถกกรมทรัพย์สินฯ ปมลิขสิทธิ์ยาฟาวิพิราเวียร์ เปิดทาง อภ.ผลิตใช้ใน ปท.

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ สธ. พร้อมด้วย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมประชุมหารือเรื่องลิขสิทธิ์ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด- 19 เนื่องจากขณะนี้ อภ.อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาและเตรียมผลิตใช้ ขณะเดียวกัน พบว่า ก่อนหน้านี้บริษัทยาในประเทศญี่ปุ่นได้มีการยื่นขอจดลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเช่นกัน

นายวุฒิไกร กล่าวว่า ยาฟาวิพิราเวียร์มีการยื่นขอจดสิทธิบัตร ซึ่งตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กรมฯ มีหนังสือไปยังผู้ขอสิทธิบัตรว่าสิ่งที่ยื่นเข้ามานั้นไม่มีขั้นการผลิตที่สูงขึ้น การพิจารณาของนายทะเบียนจะมีทางออกอยู่ 2 ทาง 1.พิจารณารับจดทะเบียน 2.ให้ส่งข้อมูลเพิ่มเติม

“ซึ่งขณะนี้กรมฯ มีหนังสือออกไปแล้ว รอให้ผู้ขอสิทธิบัตรชี้แจงเข้ามา หากไม่ชี้แจงก็ถือว่าละทิ้งคำขอ หรือหากชี้แจงมาก็ต้องมาพิจารณาใหม่ ถ้าเหตุผลเพียงพอก็รับจด ถ้าชี้แจงมาแล้วยังเหมือนเดิม ไม่มีการผลิตที่สูงขึ้น ก็ปฏิเสธคำขอ เดทไลน์ที่ต้องส่งเอกสารเข้ามาคือ เดือนสิงหาคม 2564 ทั้งนี้อยู่ที่ดุลพินิจของนายทะเบียน รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการ สธ. ได้เชิญ เลขาธิการ อย. กระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการ อภ. กรมทรัพย์สินฯ หารือ เพราะอยากให้เป็นวาระแห่งชาติ และให้ทำงานเป็นทีม ฉะนั้นเราให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและประชาชนไทยเป็นสำคัญ ดังนั้นที่ทำก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามกฎหมาย” นายวุฒิไกร กล่าว

ด้าน นพ.วิฑูรย์ กล่าวว่า ขณะนี้รอความชัดเจนเรื่องที่กรมทรัพย์สินฯ ชี้แจงให้ทราบว่า อยู่ระหว่างการเรียกบริษัทเจ้าที่ยื่นขอจดลิขสิทธิ์นั้นมีเทคโนโลยีชั้นสูงหรือไม่ หากไม่มี ก็ต้องปฏิเสธไป แต่ระหว่างนี้ อภ.จะเดินหน้าผลิตต่อไป โดยอยู่ในช่วงการศึกษาชีวสมมูลในมนุษย์ เพื่อดูเรื่องการดูดซึม การขับออกเป็นอย่างไร เป็นต้น คิดว่าจะเป็นไปได้ด้วยดี ดังนั้นล็อตแรกผลิตมา 3.6 แสนเม็ด ใน 3 ล็อตการผลิต ขณะเดียวกัน ก็สต็อกวัตถุดิบจากอินเดียและจีนเพื่อทยอยผลิตต่อไป ทั้งนี้เมื่อเดินหน้าการผลิตในระดับอุตสาหกรรมจะใช้โรงงานผลิตยารังสิต จำนวน 1 ล้านเม็ด

Advertisement

“ภาวการณ์ระบาดและการเข้าถึงยาของประชาชนเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ เป็นเรื่องที่เราทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ กว่าเราจะได้ทะเบียนจาก อย.คาดว่าราวๆ เดือนสิงหาคมเช่นเดียวกัน ระหว่างนี้ เราก็ผลิตมาเพื่อวิจัย ผลิตเพื่อขึ้นทะเบียน และซื้อวัตถุดิบมารอ หากผ่านก็ผลิตได้เลย ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่า ถ้าบริษัทนอกสามารถยื่นจดลิขสิทธิ์ได้จะมีทางออกให้กับล็อตที่ผลิตแล้วอย่างไรนั้น ก็ต้องเจรจากันต่อว่าจะเป็นอย่างไร มีทางออกอยู่แล้ว” นพ.วิฑูรย์ กล่าว

ผู้อำนวยการ อภ. กล่าวว่า ระหว่างนี้ อภ.ได้จัดหายาเม็ดสำเร็จเข้ามาใช้ โดยในเดือนพฤษภาคมนี้ สั่งเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ด ซึ่งจะทยอยเข้ามาเพิ่ม และหาทางเลือกจากหลายๆ แหล่ง เพราะถึงแม้ว่าจะเพิ่งนำเข้ามา 2 ล้านเม็ด แต่อัตราการใช้ยาขณะนี้ค่อนข้างสูง เลยสั่งเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ด และจะพิจารณาสั่งเพิ่มอีกในเดือนต่อๆ ไป จนถึงเดือนสิงหาคม ที่จะสามารถผลิตได้เอง

“อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในช่วงแรกที่ อภ.สามารถผลิตได้เองแล้วนั้น แต่อาจจะต้องมีการนำเข้ายามาเพื่อประคองสถานการณ์ไปด้วยจนกว่าสถานการณ์จะนิ่ง ทั้งนี้ เพราะไม่ต้องการให้ประเทศอยู่ในความเสี่ยง เชื่อว่ามีทางออกที่ดีสำหรับประเทศไทย” นพ.วิฑูรย์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image