สำรวจสุขภาพจิตช่วงโควิดระลอกใหม่ พบแรงงานเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเครียด ซึมเศร้า

สำรวจสุขภาพจิตช่วงโควิดระลอกใหม่ พบแรงงานเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเครียด ซึมเศร้า

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2564) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงผลสำรวจสุขภาพจิตในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ (โควิด-19) ระลอกใหม่ พบว่าคนไทยปรับตัวรับมือสถานการณ์ได้ดีมากขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยพลังใจจากครอบครัว และคนใกล้ชิดยังเป็นปัจจัยสำคัญ และขณะนี้พบความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตสูงในกลุ่มแรงงานโดยเฉพาะกลุ่มรับจ้างขับรถสาธารณะ จึงจัดเวทีเสวนาระหว่างกรมสุขภาพจิต และผู้แทนกลุ่มแรงงานทั้งในและนอกระบบ เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาด้านสุขภาพจิตในกลุ่มวัยแรงงาน และบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วน

พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการติดตามผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 มาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในประเทศไทย ในภาพรวมของผลสำรวจ ความเครียด อาการซึมเศร้า ความเสี่ยงในการทำร้ายตนเอง มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 มากขึ้น แต่การปรับตัวสูงขึ้นของปัญหาด้านสุขภาพจิตในช่วงการระบาดของปี 2564 ยังไม่ถึงระดับเดียวกับช่วงที่มีการระบาดในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนส่วนหนึ่งมีพลังใจที่ดีมากขึ้น เริ่มมีการปรับตัวรับมือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดีมากขึ้น

“และเมื่อสำรวจพลังทางใจของคนไทยปี 2564 พบว่าปัจจัยด้านพลังใจที่คนไทยมีอยู่มากที่สุด คือ การมีคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดเป็นกำลังใจ รองลงมาเป็นการมองว่าการแก้ปัญหาทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น และตามมาด้วยความสามารถในการจัดการปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ จากผลสำรวจยังพบอีกว่า สำหรับคนที่มีพลังใจลดน้อยลงจะทำให้รู้สึกว่าปัญหายากลำบากมากขึ้นและกังวลว่าจะเอาชนะปัญหานั้นไม่ได้ นอกจากนี้ กรมสุขภาพจิตได้นำผลสำรวจล่าสุดมาจำแนกตามอาชีพ พบว่าระดับความเครียดมาก-มากที่สุด ในรายอาชีพกลุ่มรับจ้างขับรถสาธารณะมีอัตราสูงสุด (ร้อยละ 14.8) รองลงมาเป็น กลุ่มว่างงาน (ร้อยละ 8.8) และบุคลากรสาธารณสุข (ร้อยละ 6) ตามลำดับ ซึ่งอาชีพกลุ่มรับจ้างขับรถสาธารณะนี้ มีทั้งอาการซึมเศร้า (ระดับค่อนข้างมาก-มาก ที่ร้อยละ 7.4) และความเสี่ยงในการทำร้ายตนเอง (ระดับค่อนข้างบ่อย-เกือบทุกวัน ที่ร้อยละ 3.7) ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดในทุกกลุ่มอาชีพอีกด้วย” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว

Advertisement

พญ.พรรณพิมลกล่าวว่า ผลกระทบที่สำคัญที่สังเกตได้จากผลรายงานล่าสุด คือ ผลกระทบด้านสุขภาพจิตที่มีต่อกลุ่มแรงงาน จึงเป็นที่มาของการประชุมหารือกับผู้แทนกลุ่มแรงงานในวันนี้ ที่จะช่วยทำให้กรมสุขภาพจิตสามารถดำเนินงานได้ตรงตามความต้องการของกลุ่มแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และสื่อสารเรื่องการสร้างวัคซีนใจในองค์กรของวัยทำงาน เน้นการสร้าง “safe calm hope care” ในชุมชน องค์กร และสังคม จะช่วยให้ประชาชนมีมุมมองปัญหาเปลี่ยนไปในทางบวกมากขึ้น การที่แรงงานไทยมีสุขภาพจิตดีจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติผ่านวิกฤตต่อไปได้

การจัดเวทีเสวนาในวันนี้ ประกอบด้วย กรมสุขภาพจิต นายมนัส โกศล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, ผู้แทนจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส), ประธานสหกรณ์แท็กซี่สุวรรณภูมิ, ผู้แทนบริษัทออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด, ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย จ.สมุทรปราการ, ผู้แทนสหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย, ผู้แทนสหภาพแรงงาน วายเอ็มพี กรุ๊ป จ.ชลบุรี, กลุ่มลูกจ้างไรเดอร์จากแอพพลิเคชั่นลาลามูฟ, ผู้แทนสมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย, ผู้แทนหน่วยงานพัฒนาและบริการสังคม สภาคริสตจักรในประเทศไทย, ผู้แทนมูลนิธิรักษ์ไทย, ผู้แทนมูลนิธิเพื่อนหญิง, ผู้แทนมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย, ผู้แทนสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย, สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) และผู้แทนสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ได้ทำความเข้าใจร่วมกันถึงสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตของคนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานร่วมกันวางแผนสนับสนุนโครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตกลุ่มแรงงานในระบบภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. สำนักสร้างสรรค์และโอกาส ซึ่งทำงานกับแรงงานในสถานประกอบการจำนวน 13 แห่ง ในพื้นที่ จ.ระยอง จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทรา จ.พระนครศรีอยุธยา จ.อ่างทอง จ.สมุทรสาคร จ.นครปฐม และกรุงเทพมหานคร และวางแผนการทำงานแบบบูรณาการระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อมุ่งให้เกิดสุขภาพจิตที่ดีและลดความสูญเสียจากปัญหาด้านสุขภาพจิตในกลุ่มวัยแรงงานของประเทศไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image