กทม.เข้มมาตรการปิดสถานที่ตามศบค.กำหนด-เพิ่มศักยภาพรักษาผู้ป่วยโควิด

กทม.เผยแนวทางการเพิ่มศักยภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุง

วันนี้ (21 ก.ค.64) ที่ศาลาว่าการ กทม.(เสาชิงช้า) ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วย นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ และ พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย ร่วมแถลง สถานการณ์โรคโควิด-19 พร้อมมาตรการป้องกัน ดูแลประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ร.ต.อ.พงศกร กล่าวว่า กทม.ได้ดำเนินการตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กำหนดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยได้ออกประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวตามที่ ศบค.กำหนด โดยจุดมุ่งหมายสำคัญคือการลดการเคลื่อนย้ายของประชาชน ให้มีการเดินทางให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับมาตรการการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง รวมทั้งการเร่งค้นหาผู้ป่วยติดเชื้อในชุมชนเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการแยกกักตัวหรือการเข้าสู่การรักษาให้เร็วที่สุด

ด้าน พญ.ป่านฤดี กล่าวว่า กทม. โดยสำนักอนามัย สำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง บูรณาการความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ประชาชน จิตอาสา จัดทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก Comprehensive Covid-19 Response Team (CCRT) ลงพื้นที่ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 15- 31 ก.ค.64 โดยทีมCCRT จะทำหน้าที่ ดังนี้ สำรวจชุมชนเพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วยโควิด ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ ให้บริการตรวจคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน ด้วยชุดตรวจ แอนติเจน เทสต์ คิท (Antigen Test Kit) ให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยการจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร และให้คำแนะนำในการแยกกักที่บ้าน (HI : Home Isolation) และมอบชุด HI แก่ผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้ สำหรับผู้ที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้ ทีมจะนำผู้ป่วยนำส่งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation) จะดำเนินการกักกันผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่บ้าน และมอบชุด HQ : Home Quarantine หรือส่งเข้า LQ : Local Quarantine ให้บริการฉีดวัคซีนกับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์ สื่อสารทำความเข้าใจ ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคโควิด-19 การปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากโรคโควิด

Advertisement

“ผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 15 – 20 ก.ค.64 ลงพื้นที่ชุมชน จำนวน 639 แห่ง มีประชาชนเข้ารับบริการแล้ว 24,382 คน ให้บริการฉีดวัคซีนแล้ว จำนวน 17,523 ราย (ในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์) ให้บริการเอทีเค แก่ประชาชนแล้ว จำนวน 1,874 ราย ผลพบเชื้อ จำนวน 176 ราย ซึ่งได้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา จำนวน 10 ราย นำส่งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ จำนวน 3 ราย และให้การดูแลแยกกักตัวที่บ้านจำนวน 163 ราย พร้อมมอบชุดกักตัวให้แก่ผู้ที่แยกกักตัวที่บ้านและมอบยาฟ้าทะลายโจร ยาลดไข้ ยาแก้ไอ และยาละลายเสมหะให้ประชาชนได้ใช้ในการดูแลตนเองแล้วทุกราย สำหรับในวันที่ 21 ก.ค.ลงพื้นที่ชุมชนอีก 103 แห่ง” พญ.ป่านฤดี กล่าวว่า

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กล่าวว่า สำนักอนามัยจะเพิ่มจำนวนทีม CCRT โดยศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง จะจัดทีมเพิ่ม แห่งละ 2 ทีม และทีมเพิ่มเติมจากภาคีเครือข่าย อาทิ กรมควบคุมโรค และสภากาชาดไทย เพื่อเร่งลงพื้นที่ชุมชนให้ครบ ภายในเดือน ก.ค.นี้ สำหรับภาพรวมผลตอบรับมีผู้สูงอายุในชุมชนที่ไม่สามารถเดินทางมารับวัคซีน ณ จุดฉีดภายนอก ได้รับวัคซีนจำนวนมากขึ้น รวมทั้งมีประชาชนเข้าสู่ระบบการแยกกักตัวที่บ้านมากขึ้น ทั้งนี้หากประชาชนได้รับผลยืนยันว่าติดเชื้อสามารถโทรแจ้งที่สายด่วน สปสช.1330 เพื่อเข้าสู่ระบบการดูแล ซึ่ง สปสช.จะบริหารจัดการให้สถานพยาบาลแต่ละแห่งเข้าดูแลผู้ป่วยแต่ละรายต่อไป

ด้าน นพ.สุขสันต์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการรับผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาในขณะนี้นั้น หากพบว่าผู้ป่วยมีผลการตรวจด้วยวิธี RT-PCR หรือการเอทีเค ในสถานพยาบาลเป็นบวก เบื้องต้นจะแนะนำให้ประชาชนใช้วิธีการแยกกักตัวที่บ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่จัดส่งยาและอุปกรณ์ในการกักตัวที่บ้าน พร้อมตรวจติดตามอาการทุกวัน สำหรับประชาชนที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้ ให้ประสานสายด่วน 1669 , 1668 หรือ 1330 เพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษา หรือเข้าสู่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ จากนั้น 3- 4 วัน จะนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาตามระดับอาการของผู้ป่วย ณ ขณะนั้น

Advertisement

“ทั้งนี้ สำนักการแพทย์ได้เร่งเพิ่มศักยภาพศูนย์เอราวัณเพื่อรับส่งผู้ป่วยโควิด-19 โดยร่วมกับสำนักงานเขต และหน่วยทหาร ปัจจุบันสามารถรับผู้ป่วยเข้ารับการดูแลได้มากกว่า 400 ราย ต่อวัน รวมทั้งได้เร่งขยายศักยภาพการรับผู้ป่วยที่มีอาการ หรือผู้ป่วยเคสเหลืองและแดง ในโรงพยาบาลสังกัด กทม.ทุกแห่ง รวมทั้งในส่วนของ รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งจะสามารถรับผู้ป่วยเคสเหลืองได้เพิ่มขึ้น และ รพ.สนามโรงพยาลราชพิพัฒน์ ซึ่งได้เร่งก่อสร้างโมดูลาร์ ไอซียู (Modular ICU) เพื่อรับผู้ป่วยสีแดง ขณะนี้เปิดรับผู้ป่วยได้แล้วจำนวน 20 เตียง และคาดว่าจะสามารถเปิดรับผู้ป่วยได้ครบ 40 เตียงตามเป้าหมายภายในเดือนก.ค.นี้” นพ.สุขสันต์ กล่าว

นพ.สุขสันต์ กล่าวว่า โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ วันนี้ (21 ก.ค.64) มีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 24,278 ราย โดยผู้ป่วย 3,327 ราย พักรักษาตัว ณ สถานพยาบาลในความดูแลของสำนักการแพทย์ กทม. สัดส่วนการครองเตียงในโรงพยาบาลสังกัดกทม. รพ.สนาม และฮอสปิเทล (Hospitel) ในความดูแลของ กทม. จำนวนทั้งสิ้น 3,515 เตียง เตียงเสริม 188 เตียง ใช้ไปแล้ว 3,327 เตียง คงเหลือ 366 เตียง คิดเป็นอัตราการครองเตียงร้อยละ 94.65

ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้ง ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ หรือคอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น (Community Isolation) ปัจจุบันกทม.ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจรับรองว่าติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มศักยภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยตกค้าง รวมทั้งป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่กรุงเทพฯ ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต โดยมีเป้าหมาย 1 เขต 1 ศูนย์พักคอย ขณะนี้จัดตั้งศูนย์พักคอยฯ แล้ว จำนวน 50 แห่ง อยู่ในพื้นที่เขต 47 เขต เปิดบริการแล้ว จำนวน 21 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้ 5,781 เตียง นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับเด็กเพื่อส่งต่อ บริเวณศูนย์สร้างสุขทุกวัยเกียกกาย เขตดุสิต โดยปรับปรุงพื้นที่ชั้น 3 จัดทำเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยเด็ก สามารถรองรับผู้ป่วยเด็กได้ 52 เตียง แบ่งเป็นชาย 26 เตียง และหญิง 26 เตียง โดยที่ศูนย์พักคอยสำหรับเด็กแห่งนี้ จะมีกิจกรรมและของเล่นตามช่วงวัย เพื่อให้เด็กได้มีกิจกรรมผ่อนคลายในช่วงที่ต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่ โดยมีทีมแพทย์จากวชิรพยาบาล เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วยเด็ก รวมทั้งมีอาสาสมัคร พี่เลี้ยงเด็ก ครูอาสาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง และหากมีอาการที่จะต้องเข้ารักษาพยาบาล ก็สามารถส่งเข้าโรงพยาบาลได้ทันที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image