กรมแพทย์ยัน โควิดโดยรวมดีขึ้น เว้นกทม.-ปริมณฑล ทยอยปิดรพ.สนาม

เตียงเริ่มว่าง! กรมแพทย์ยันสถานการณ์โควิดโดยรวมดีขึ้น ยกเว้นกทม.-ปริมณฑล ทยอยปิด รพ.บุษราคัม-นิมิบุตร

เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงรายงานแนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 และการบริหารจัดการเตียง ว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ดูเหมือนผู้ติดเชื้อจะน้อยลง แต่ย้ำว่า ผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ 1.4 หมื่นราย จากการตรวจด้วยวิธีอาร์ที-พีซีอาร์ (RT-PCR) หากรวมกับการตรวจด้วยแอนติเจน เทสต์ คิท (ATK) อีก 2,000 กว่าราย ซึ่งในบางส่วนก็อาจทำอาร์ที-พีซีอาร์ซ้ำไปแล้ว แต่ตัวเลขก็จะอยู่ราวๆนี้
“ส่วนสถานการณ์เตียงทั่วประเทศ พบว่ายังมีความตึงตัวที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดโดยรอบ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยครองเตียงเพิ่มบางส่วน แต่จุดที่ยังมีปัญหาคือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล จากกราฟผู้ป่วยครองเตียง 4.3 หมื่นกว่าราย ทั้งในโรงพยาบาล (รพ.) และฮอสปิเทล (Hospitel) ที่ส่วนใหญ่อยู่ในเอกชน พบว่า ร้อยละ 70-75 เป็นผู้ป่วยไม่มีอาการ หรือกลุ่มเขียวเข้ม (Asymtomatic) รวมกับผู้ป่วยมีอาการน้อย หรือกลุ่มเขียวอ่อน (Mild Case) ส่วนอีก ร้อยละ 20.85 เป็นกลุ่มที่มีอาการน้อย หรือ กลุ่มเหลืองอ่อน (Modurate Case) ขณะที่ ร้อยละ 3.13 เป็นผู้ป่วยอาการรุนแรง ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (Severe Case)” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า แม้จะมีสายพันธุ์เดลต้าเข้ามา แต่ตัวเลขจะอยู่ประมาณนี้ อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ และปริมณฑล ผู้ป่วยเสียชีวิตและใช้เครื่องช่วยหายใจ แนวโน้มตัวเลขลดลง

“จากเดิมที่ระบาดมากๆ ที่มีผู้ป่วยใหม่ 20,000 ราย พบผู้ป่วยเสียชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกินครึ่ง แต่ตอนนี้น้อยกว่าครึ่งแล้ว อย่างวันนี้เป็น 1 ใน 6 หรือ 7 ยอดรวมของประเทศ” นพ.สมศักดิ์ กล่าวและว่า ส่วนผู้ป่วยนอก รพ. จะพบในระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้ป่วยแยกกักที่บ้าน (Home Isolation) ขณะนี้ยอดสะสมถึง 90,000 ราย หายแล้ว 40,000 ราย และยังอยู่ในระบบ 50,000 ราย โดยผู้ป่วยแยกกักที่บ้าน จากเดิมเคยสูงถึงหลักหลายพัน แต่วันนี้เหลือ 387 ราย และช่วงหลัง ๆ จะไม่เกิน 500 ราย ต้องย้ำว่า โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่แยกกักที่บ้าน และต้องส่งต่อไปที่ รพ. พบเฉลี่ย ร้อยละ 7-8 แต่จะพบมากในช่วงหลังเนื่องจากผู้ติดเชื้อบางรายที่เมื่ออยู่ในมาตรการแยกกักที่บ้านแล้ว เมื่ออาการแย่ลง แต่ไม่อยากไป รพ. จะบอกว่า เป็นความสำเร็จมาตรการแยกกักที่บ้านก็ว่าได้ แต่ขอย้ำว่าหากผู้ป่วยอาการแย่ลง ต้องฟังแพทย์ที่เทเล เมดิคอล (Tele Medical) ไปคุยวันละ 2 ครั้ง ขอให้ไป รพ.ก็อยากให้กลับไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ออกซิเจนในเลือดลด ตอนนี้เตียงสีเหลืองใน รพ. หรือ ฮอสปิเทลว่าง ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า ขอให้กลับเข้าไปรักษา” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับศูนย์พักคอยในชุมชน (Community Isolation) เตียงว่างมากกว่าครองเตียง โดยเปิดดำเนินการ 60 แห่ง ประมาณ 7,400 เตียง ว่างเกือบ 6,000 เตียง มีครองเตียง 1,500 เตียง ผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 100 ราย จะเห็นได้ว่ามาตรการศูนย์แยกคอยเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะบรรเทาปัญหาความแออัดของเตียง ทั้งนี้ ตั้งแต่ดำเนินการมา สะสมเกือบ 1.6 หมื่นเตียง ยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตในศูนย์ฯ เลย ซึ่งต้องขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกรุงเทพฯภาคประชาสังคม รพ.ของรัฐ หรือ รพ.ทุกสังกัด แม้กระทั้ง รพ.เอกชน เป็นต้น ขณะที่ ศูนย์พักคอยที่ทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ยกระดับขึ้นมาเหมือนกับ รพ.สนาม ประจำกลุ่มเขต เรียกว่า CI Plus อีก 8 แห่ง เพื่อดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองได้ ทั้งนี้ เตียงที่ว่างจะมากกว่าผู้ป่วย ยืนยันได้ว่าสถานการณ์ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่อนข้างดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ 1 เดือนที่ผ่านมา

Advertisement

นพ.สมศักดิ์ กล่าวถึงศูนย์แรกรับและส่งต่ออาคารนิมิบุตร สธ. ว่า เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2564 พบว่ากราฟจะขึ้นสูงในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 สูงถึง 350 เตียง เป็นช่วงที่เตียงตึงมากๆ พอปลายเดือนสิงหาคม กราฟเริ่มลดลงแล้ว ปัจจุบัน ณ วันที่ 5 กันยายน 2564 มีผู้เดินทางไปคัดกรองที่ศูนย์ฯ ราว 30-40 ราย และมีการส่งต่อออกไป จึงทำให้มียอดคงค้าง 9 รายเท่านั้น

“ศูนย์นิมิบุตรจะปิดตัวในวันที่ 30 กันยายนนี้ เราวางแผนเผื่อไว้ว่าจะย้ายการให้บริการจากศูนย์นิมิบุตรไปที่ รพ.สนามที่ รพ.เลิดสิน ต้องขอบคุณเครือซีพี ที่สนับสนุนการจัดตั้ง รพ.เลิดสิน ซึ่งรองรับผู้ป่วยกลุ่มเหลืองและแดง ประมาณ 200 เตียง บวกกับการเป็นศูนย์แรกรับและส่งต่อด้วย เนื่องจากหากมีหลายที่การบริหารจัดการก็ค่อนข้างยาก นี่เป็นการเตรียมการว่าวันที่ 30 กันยายนนี้ รพ.เลิดสิน จะปิดทำการแรกรับส่งต่อแทนที่มินิบุตร เพราะตอนนี้เองผู้ป่วยน้อยลง และคนทำงานตั้งแต่เดือนเมษายน ก็ค่อนข้างตึงตัว ก็จะมีการเปลี่ยนกะให้เขาไปพักบ้าง” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า อีกแห่งคือ รพ.บุษราคัม ที่ขยายเตียงสูงสุด 3,000 กว่าเตียง ขณะนี้ปิดไปห้องหนึ่ง เหลือ 2,200 เตียง โดยยังมีเตียงว่าง 1,376 เตียง มีผู้ป่วยครองเตียง 800 กว่าราย โดยสัญญากับอิมแพ็คเมืองทองธานี จะหมดสิ้นเดือนตุลาคม 2564

Advertisement

“ทั้งนี้ หลังจากที่ผ่อนคลายมาตรการบางส่วน จะมีการประเมินสถานการณ์ปลายเดือนกันยายนนี้อีกครั้ง เพื่อดูว่าจำนวนผู้ป่วยกลับพุ่งขึ้นอีกหรือไม่ และจะมีการประเมินเป็นระยะ แต่ในส่วนของ กทม. มีการพูดคุยกับทุกสัปดาห์ร่วมกับ รพ.กรมการแพทย์ รพ.โรงเรียนแพทย์ รพ.เอกชน รพ.ทหาร และตำรวจ ร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อเราต้องเร็วในการปรับให้ทันโควิด-19 เราต้องเตรียมการตลอดเวลา ยืนยันว่า ตอนนี้การบริหารจัดการเตียงรวมสีแดงแล้ว ค่อนข้างจะสบายขึ้นแล้ว ผู้ป่วยที่ต้องการเข้า รพ. แม้แต่สีแดง ภายใน 24 ชั่วโมงเราก็หาเตียงได้แล้ว” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล และโดยเฉพาะผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง เพราะสีเขียว สามารถใช้มาตรการแยกกักที่บ้าน (HI) และศูนย์พักคอยในชุมชน (CI) เป็นคำตอบได้แล้ว ดังนั้น การระบาดรอบใหม่ เราจะเฝ้าดูประมาณสิ้นเดือนกันยายน ต่อ เดือนตุลาคมนี้ นอกจากนั้น ได้พูดคุยเตรียมการกับทุกภาคีเครือข่ายว่า เตียงสีเหลืองและแดง ใน รพ.ทุกสังกัด จะยังคงไว้ก่อน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กำลังประมาณคุณภาพ HI/CI ว่าดูแลตามมาตรฐานที่วางไว้หรือไม่ เพราะมีการขยายดูแล HI ไปในระดับคลินิกซึ่งยังต้องคงคุณภาพไว้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image