ตร.-สธ.ขยายผลสอบ รพ.เอกชน ลอบนำยาฟาวิพิราเวียร์ออกจำหน่าย ลั่นดำเนินคดีถึงที่สุด

ตร.-สธ.ขยายผลสอบ รพ.เอกชน ลอบนำยาฟาวิพิราเวียร์ออกจำหน่าย ลั่นดำเนินคดีถึงที่สุด

วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2564)  กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง, พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ., ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) , นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา, ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภก. กิตติ ระหงษ์ ผู้อำนวยการกองการขายภาคเอกชน ฝ่ายการตลาดและการขาย องค์การเภสัชกรรม (อภ.) แถลงผลการปฏิบัติงานขยายผลตรวจสอบโรงพยาบาล (รพ.) เอกชน ย่านบางกะปิ ลักลอบนำยาฟาวิพิราเวียร์ออกมาจำหน่ายนอกโรงพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกันจับกุมเครือข่ายลักลอบขายยาฟาวิพิราเวียร์ ยี่ห้อฟาเวียร์ ทางสื่อออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยผู้ต้องหาส่วนหนึ่งให้การว่า ยาดังกล่าวได้มาจาก รพ.เอกชน แห่งหนึ่งย่านบางกะปิ ซึ่งสั่งซื้อมาจาก อภ.ในนามโรงพยาบาล แล้วนำออกมาจำหน่ายเพื่อหากำไร เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการนั้น

ในวันที่ 28 ตุลาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก. ปคบ. เจ้าหน้าที่ อย. และเจ้าหน้าที่ สบส. ได้นำหมายค้นศาลอาญาเข้าตรวจค้น รพ.เอกชน ย่านบางกะปิ ผลการตรวจสอบพบหลักฐานเอกสารการสั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ ยี่ห้อฟาเวียร์ ผลิตโดย อภ. แต่ไม่พบประวัติการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่อย่างใด และจากการสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่พบว่า รพ. ดังกล่าว มีผู้ป่วยโควิด-19 มารับการรักษาแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้บริหาร รพ.รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว

Advertisement

เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม 1.พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานไม่จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพและจำนวนที่กำหนด, มีการเปลี่ยนแปลงการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ฐานขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 3.พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 ฐานประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ บก. ปคบ. จะร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากตรวจพบจะดำเนินคดีถึงที่สุด หากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ปคบ.1135 หรือ เพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค

Advertisement

นพ.ธเรศ กล่าวว่า ขอให้สถานพยาบาลทุกแห่งดำเนิน กิจการอย่างมีจริยธรรมและจัดหายาให้ผู้ป่วยให้เป็นไปตามกฎหมายอยางเคร่งครัดโดยจะจัดให้มีการส่งหนังสือเพื่อแจ้งไปยังสถานพบยาบาลทุกแห่งให้ตรวจสอบการจัดหาและการจ่ายยาให้ผู้ป่วยอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต ส่วนการดำเนินคดีดังกล่าว สบส.จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและมาตรการทางปกครองต่อไป ทั้งนี้ หากการกระทำผิดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับวิชาชีพใด จะดำเนินการแจ้งไปยังสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป หากประชาชนพบเห็นการดำเนินการของสถานพยาบาลที่น่าสงสัยขอให้แจ้งสายด่วน สบส.1426

ภญ.สุภัทรา กล่าวว่า อย.จะตรวจสอบรายงานการซื้อขายยาฟาวิพิราเวียร์ของ อภ.ที่ขายให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของการขายว่ามีการรั่วไหลออกนอกระบบหรือไม่

“หากตรวจพบว่ามีผู้ลักลอบนำยาไปขายนอกระบบจะดำเนินมาตรการทางกฎหมายและทางปกครองอย่างถึงที่สุด และขอย้ำกับประชาชนว่า อย่าซื้อยาฟาวิพิราเวียร์มาใช้เอง ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่ามีความจำเป็นที่จะต้องรับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์หรือไม่ ไม่ใช่ผู้ป่วยโควิด-19ทุกรายจำเป็นต้องรักษาด้วยยานี้ ซึ่งหากผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาในระบบของรัฐที่จัดไว้ให้จะได้รับยาฟาวิพิราเวียร์อย่างทั่วถึงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย การใช้ยาที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ง่าย ส่งผลให้ใช้ยาไม่ได้ผลเมื่อเกิดการติดเชื้อ เป็นเหตุให้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด หากพบการลักลอบผลิต นำเข้า จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน อย.1556” ภญ.สุภัทรา กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image