หมอธีระย้ำ คนฉีดวัคซีนแล้วก็ยังต้องระวัง เหมือนกับคนที่ยังฉีดไม่ครบ หรือยังไม่ได้ฉีด
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เตือนว่า คนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังคงต้องระวังตัวเหมือนกับคนที่ยังฉีดไม่ครบ หรือยังไม่ได้ฉีด เพราะมีหลักฐานทางวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า คนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็สามารถมีปริมาณไวรัสในร่างกายพอๆ กับคนที่ไม่ได้ฉีด หรือฉีดยังไม่ครบ โดยระบุว่า
21 พฤศจิกายน 2564
คนฉีดวัคซีนแล้วก็ต้องระวังเช่นเดียวกับคนที่ยังฉีดไม่ครบ หรือยังไม่ได้ฉีด
เพราะหลักฐานวิชาการนั้นชี้ให้เห็นว่า คนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็สามารถมีปริมาณไวรัสในร่างกายพอๆ กับคนที่ไม่ได้ฉีด หรือฉีดไม่ครบ หรือไม่รู้สถานะการฉีดวัคซีน
ดังนั้น หากฉีดวัคซีนไปแล้วแต่ไม่ป้องกันตัว ก็จะกลายเป็นกลจักรแพร่เชื้อแก่คนอื่นในสังคม ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และสถานที่ที่เราไปในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างจริงที่อยากเล่าให้ฟังคือ เหตุการณ์ระบาดวงกว้างในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ในช่วงกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา เกิดจากหลากหลายเหตุการณ์ มีคนติดเชื้อไปทั้งสิ้น 469 คน
ในจำนวนนี้ 74% เป็นทั้งคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว และที่ฉีดวัคซีนยังไม่ครบ
คนที่ติดเชื้อนั้น 79% มีอาการ
พอตรวจ RT-PCR ก็พบว่า Cycle threshold ในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบโดส มีค่ามัธยฐานอยู่ที่ 22.8 โดยพอๆ กับกลุ่มที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ ไม่ได้ฉีด และไม่รู้สถานะการฉีด ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีค่ามัธยฐานอยู่ราว 21.5
ค่า Cycle threshold ทั้งสองกลุ่มนั้นต่ำพอๆ กัน แปลอีกนัยหนึ่งคือ มีปริมาณไวรัสในร่างกายสูง และสามารถแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ ในสังคมได้
ส่วนประเทศเยอรมันมีรายงานว่า 55.4% ของคนสูงอายุที่ติดเชื้อโควิด-19 แบบมีอาการนั้นเป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เมืองมุนสเตอร์ รายงานเคสติดเชื้อใหม่พบว่า 22% เป็นคนที่ฉีดครบโดส หรือเคยติดเชื้อโรคโควิด-19 มาก่อน แต่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไปเข้าไนต์คลับ
…ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทุกคนไม่ว่าจะฉีดครบ ฉีดไม่ครบ หรือไม่ได้ฉีด ก็ล้วนเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ และเป็นพาหะที่นำพาเชื้อไปให้คนใกล้ชิด ที่บ้าน ที่ทำงาน และที่อื่นๆ ได้
การป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากเสมอ และเว้นระยะห่างจากคนอื่นมากกว่าหนึ่งเมตร เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหยุดยั้งการระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะประเทศใดในโลก
ตามข้อมูลวิชาการข้างต้นจึงเห็นชัดว่า ที่น่ากังวลที่สุดคือกลุ่มคนที่ดำรงชีวิตประจำวันอย่างประมาท ไม่ป้องกันตัว ไม่ว่าจะเรื่องหน้ากาก หรือการเว้นระยะห่างจากคนอื่นนั่นเอง
ดีไม่ดี คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือได้ยังไม่ครบ เค้ากลับจะป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดกว่าด้วยซ้ำ
ดังนั้น การกล่าวถึงกลุ่มคนที่ไม่ฉีดวัคซีน ด้วยศัพท์แสงฮาร์ดคอร์หรืออะไรก็ตาม หรือการออกกฎระเบียบเพื่อจำกัดการใช้ชีวิตประจำวันโดยเลือกปฏิบัติเพียงเฉพาะกลุ่ม จึงอาจต้องพิจารณาให้ดีว่าเป็นการปฏิบัติไม่เป็นธรรมหรือไม่ ในเมื่อเราทราบหลักฐานวิชาการข้างต้น
ย้ำอีกครั้งว่า การใส่หน้ากาก และเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นประโยชน์ทั้งต่อบุคคลนั้นและคนรอบข้างในสังคม ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนที่จะเกิดประโยชน์ชัดเจนต่อตัวบุคคลนั้นมากกว่า ทั้งในแง่การลดโอกาสป่วยรุนแรงและลดโอกาสเสียชีวิต
สำคัญคือ การจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และเป็นไปตามหลักฐานวิชาการมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของสากลโลก มาให้แก่ทุกคนในสังคมอย่างครอบคลุม ครบถ้วน เป็นธรรม และทันเวลา
ด้วยรักและห่วงใย