สกู๊ปหน้า 1: อว.แก้จนตรงเป้า ยึดโมเดลจีน นำร่อง 20 จว.

สกู๊ปหน้า 1: อว.แก้จนตรงเป้า ยึดโมเดลจีน นำร่อง 20 จว.

การแก้ปัญหาความยากจน เป็นนโยบายสำคัญของทุกรัฐบาล แต่ที่ผ่านมาโครงการและมาตรการที่ออกมามักจะเป็นการหว่านแห สะเปะสะปะ ไม่ตรงเป้า ทำให้แก้ปัญหาไม่ค่อย ได้ผล เนื่องจากปัญหาความยากจนเกิดจาก หลากเหตุ หลายปัจจัย จึงเป็นที่มาของโครงการวิจัย “การพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ”  โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)

โดยศึกษาโมเดลการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศจีน ที่มีการทำสำมะโนครัวครัวเรือนยากจนและสำรวจข้อมูลทุนพื้นฐาน มีการกำหนดนิยาม “คนจน” หมายถึง กลุ่มคนที่ขาดแคลนทุนพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่ส่งผลให้ครัวเรือนมีโอกาสในการสร้างทางเลือกหรือกลยุทธ์ในการดำรงชีวิตอย่างจำกัด แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่ม 1 อยู่ลำบาก : กลุ่มที่มีความขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ต้องดำเนินการนำเข้าสู่ระบบสวัสดิการโดยเร่งด่วน

กลุ่ม 2 อยู่ยาก : กลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละวัน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการจัดหาปัจจัยดำรงชีพ/หรือยกระดับความสามารถในการจัดหาปัจจัยดำรงชีพให้พออยู่ได้

Advertisement

กลุ่ม 3 พออยู่ได้ : กลุ่มที่มีฐานทุนสำหรับการดำรงชีพ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้อย่างปลอดภัยหากประสบกับภาวะความแปรปรวนต่างๆ จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกัน และยกระดับความเป็นอยู่ให้หลุดพ้นจากสภาวะความขาดแคลน/เปราะบาง

กลุ่มที่ 4 อยู่ได้ : กลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่อสภาวะความแปรปรวน/ความเสี่ยงต่างๆ มีฐานทุนในด้านต่างๆ ที่เพียงพอในการวางแผนอนาคตของตนเอง ครอบครัว และเป็นฐานทุนในระดับชุมชนได้

“ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา” ผู้อำนวยการ บพท. ให้ข้อมูลว่า บพท.ส่งเสริมให้นำวิชาความรู้จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือคนจนอย่างเป็นระบบ โดยร่วมงานกับมหาวิทยาลัย 18 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, วิทยาลัยชุมชนยโสธร, วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร, สถาบันวิทยาลัยชุมชน (กรุงเทพ), วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี), มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยทักษิณ (วิทยาเขตพัทลุง), มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา, มหาวิทยาลัยราชภัฏนราธิวาสราชนครินทร์, มหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง

ดำเนินโครงการนำร่องใน 20 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์, อำนาจเจริญ, สกลนคร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, ยโสธร, มุกดาหาร, ชัยนาท, แม่ฮ่องสอน, ปัตตานี, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, ร้อยเอ็ด, นครราชสีมา, เลย, พัทลุง, ยะลา, นราธิวาส, พิษณุโลก และลำปาง มีการดำเนินการตามแผนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ โดยใช้ชุดข้อมูลแผนที่ความยากจนประเทศไทย (Thai Poverty Map-TP Map) ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดทำร่วมกัน และชุดข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ของกรมการพัฒนาชุมชน เป็นฐานการทำงาน

จากนั้น บพท.พัฒนากระบวนการค้นหาสอบทานคนจนที่ตกหล่นจากระบบเพื่อเป็นข้อมูลเชิงลึก (deep data) โดยระบบ PPPconnext เป็นระบบข้อมูลที่แสดงทั้งปัญหาและทุนศักยภาพในการดำรงชีพคนจน 5 ด้าน ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนสังคม ทุนการเงิน ทุนกายภาพ ทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ระบบนี้สามารถวิเคราะห์และจำแนกกลุ่มเป้าหมายคนจนเป็น 4 ระดับ คือ ระดับอยู่ลำบาก, อยู่ยาก, พออยู่ได้ และอยู่ได้ เหมือนการเอกซเรย์เพื่อแก้ปัญหาได้ตรงตามสาเหตุ การค้นหาดำเนินการโดยมหาวิทยาลัย 18 แห่ง ร่วมกับกลไกภาครัฐ ภาคประชาสังคม และองค์กรชุมชน ข้อค้นพบที่น่าสนใจ คือ กลไกการมีส่วนร่วมส่งผลต่อการช่วยเหลือเร่งด่วน สำหรับคนจนที่เป็นคนป่วย คนชรา คนพิการ เป็นระบบส่งต่อลำดับแรก

ต่อจากนั้นมีระบบส่งต่อในปัญหาสำคัญอื่นๆ เช่น ปัญหาที่อยู่อาศัย จะเข้าสู่โครงการบ้านพอเพียงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ปัญหาการศึกษาส่งต่อสู่กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา ปัญหาสาธารณูปโภคส่งต่อหน่วยงานในพื้นที่ทีรับผิดชอบ ฯลฯ รวมทั้งโครงการพัฒนานวัตกรรมแก้จนในหลากหลายรูปแบบที่สอดคล้องกับบริบทและสภาพปัญหา

เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร การพัฒนาผลตอบแทนบริการระบบนิเวศ (pay for eco system) สำหรับคนจนอนุรักษ์ป่า การยกระดับระบบสวัสดิการชุมชนให้ขยายบริการครอบคลุมคนจน การพัฒนาระบบน้ำเพื่อการเกษตร เป็นต้น

“ส่วนสำคัญอีกเรื่อง คือ การนำส่งระบบข้อมูลคนจนและโครงการแก้จนเข้าสู่ระบบแผนพัฒนาท้องถิ่น หรือแผนพัฒนาจังหวัด เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนเกิดความต่อเนื่องโดยหน่วยงานรัฐในพื้นที่” ผู้อำนวยการ บพท.แจกแจง

ด้าน “ดร.แมน ปุโรทกานนท์” หัวหน้าแผนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ บพท. เสริมว่า การเดินสำรวจเคาะประตูบ้านในพื้นที่นำร่องดังกล่าว สร้างโอกาสการเรียนรู้สภาพปัญหาอย่างชัดเจน ทำให้สามารถค้นพบคนจนที่ตกสำรวจจำนวน 336,239 คน เมื่อสมทบกับตัวเลขคนจนตามชุดข้อมูล จปฐ.และแผนที่ความยากจนประเทศไทย จะมีคนจนรวมกันถึง 676,085 คน

เราจำแนกกลุ่มคนจนในจังหวัดนำร่องออกเป็น 4 ระดับคือ “สีแดง” เป็นกลุ่มคนจนประเภท “อยู่ลำบาก” “สีส้ม” เป็นกลุ่มคนจนประเภท “อยู่ยาก” “สีเหลือง” เป็นกลุ่มคนจนประเภท “พออยู่ได้” “สีเขียว” เป็นกลุ่มคนจนประเภท “อยู่ได้” คนจนใน 20 จังหวัดนำร่อง เป็นคนจนระดับสีส้ม มากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39 รองลงมาเป็นคนจนระดับสีเหลือง มีอยู่ร้อยละ 29 และคนจนระดับสีแดง มีอยู่ร้อยละ 26 ขณะที่คนจนระดับสีเขียวมีอยู่ร้อยละ 6 เมื่อจัดแบ่งประเภทของปัญหาพบว่า คนจนส่วนใหญ่มีปัญหาขาดแคลนทุนกายภาพ คือขาดที่ทำกินมากที่สุด รองลงมาคือปัญหาขาดแคลนทุนมนุษย์ ได้แก่ พื้นฐานการศึกษาที่มีอยู่อย่างจำกัดและพื้นฐานด้านสุขภาพอนามัย ถัดลงไปคือปัญหาขาดแคลนทุนธรรมชาติ ได้แก่ การที่ต้องประสบภัยธรรมชาติซ้ำซาก ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง หรือพายุ ส่วนปัญหาขาดแคลนทุนทรัพย์ และปัญหาขาดแคลนโอกาสการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอยู่ในลำดับรั้งท้าย การช่วยเหลือจึงต้องออกแบบให้สอดคล้องกับระดับความเข้มข้นและเหตุปัจจัยของความจน เช่น กลุ่มสีแดง เป็นกลุ่มที่ต้องเร่งประสานเชื่อมต่อเข้ากับระบบสวัสดิการของรัฐให้เร็วที่สุด

“ขณะที่คนจนกลุ่มสีส้ม จะเน้นการพัฒนาทักษะความรู้ในการประกอบอาชีพ ส่วนคนจนกลุ่มสีเหลือง จะเน้นการช่วยแสวงหาที่ ทำกิน และแหล่งทุน เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ขณะที่คนจนกลุ่มสีเขียว จะเน้นการสร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาชีพ และทักษะการจัดการทางการเงิน เพื่อความมั่นคงยั่งยืนในการดำรงชีวิต”

ดร.แมนสรุปถึงผลที่ได้จากโครงการนำร่อง เป็นโครงการแห่งความหวังที่ใช้ข้อมูลการศึกษาจากพื้นที่จริง นำไปช่วยแก้ปัญหาคนจนได้อย่างรวดเร็วและตรงเป้ามากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image