ศบค. เผยยอดติดเชื้อ 3,398 ราย ตาย 23 หลังปีใหม่ จ่อเพิ่มพื้นที่สีฟ้าเป็น 31 จังหวัด อนุญาตให้เคาต์ดาวน์-ดื่มได้ไม่เกินตีหนึ่ง ย้ำ ต้องปฏิบัติตามมาตรการเข้ม คาดไทยได้รับวัคซีนครบ 100 ล้านโดส ใน 20 ธ.ค.นี้
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 13 ธันวาคม ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ภายหลังการประชุมศบค.ชุดใหญ่ ว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 3,398 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยรายใหม่ตรวจพบระบบเฝ้าระวังและบริการ 3,368 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 8 ราย จากเรือนจำ 2 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 20 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,143,181 ราย รักษาหายป่วยเพิ่ม 5,467 ราย รวมรักษาหายป่วยสะสม 2,073,900 ราย ผู้ป่วยรักษาอยู่ 49,524 ราย พบผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนัก 1,061 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 307 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 23 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 21,100 ราย ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทั้งนี้อัตราการติดเชื้อรายใหม่เทียบกับคาดการณ์ยังถือว่าต่ำกว่าเช่นเดียวกับอัตรการเสียชีวิต
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคได้นำเสนอข้อมูลอัตราผู้ป่วยอาการรุนแรงต่อผู้ติดเชื้อ ซึ่งสำคัญเพราะจะไปทำให้เกิดการใช้เตียงต่างๆ ในโรงพยาบาล โดยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 2.79 เดือนกันยายนอยู่ที่ 1.86 เดือนตุลาคมอยู่ที่ 1.61 และเดือนพฤศจิกายน 1.52 โดยมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันการควบคุมโรคโดยการรับวัคซีนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 44.5 มาเป็น 71.9 ซึ่งในส่วนนี้ปัจจัยที่นำเข้าให้ที่ประชุมมีมติเปิดหรือขยายกิจการ กิจกรรมโดยเฉพาะในช่วงปีใหม่
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า ส่วนการปรับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร ในส่วนนี้จะเห็นว่าพื้นที่ที่จะปรับในขณะนี้เหลืออยู่สองสีเท่านั้นคือ สีส้มและสีเหลือง โดยวันที่ 1 ธันวาคมที่ปรับมาพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไม่มีเหมือนเดิมตั้งแต่ต้น แต่พื้นที่ควบคุมสูงสุดจาก 23 จังหวัดลดเหลือไม่มี คือไม่มีพื้นที่สีแดง ส่วนพื้นที่สีส้ม ซึ่งเป็นพื้นที่พื้นที่ควบคุมเพิ่มขึ้นจาก 23 จังหวัดเป็น 39 จังหวัด และพื้นที่สีเหลืองที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงเพิ่มจาก 24 จังหวัดเป็น 30 จังหวัด รวมทั้งมีการเพิ่มพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวคือพื้นที่สีฟ้าเป็น 8 จังหวัดจากเดิม 7 จังหวัด โดยเป็นการเพิ่มจังหวัดชลบุรีขึ้นมาทั้งหวัดหวัดอีกหนึ่งจังหวัด ส่วนจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมและพื้นที่เฝ้าระวังสูงก็จะมีกิจกรรมขึ้นตามมาเป็นสีฟ้า โดยในวันที่ 1-30 พฤศจิกายนจะเห็นว่าจากเดิมที่มี 13 จังหวัดเพิ่มเป็น 17 จังหวัด และมีการปรับเพิ่มในระยะที่ 2 คือวันที่ 1-31 ธันวาคมที่เพิ่มมาอีก 9 จังหวัดเป็น 26 จังหวัด คือ ชลบุรี กาญจนบุรี นนทบุรี ปทุมธานีทั้งจังหวัด ส่วนวันที่ 1 มกราคม 2565 ที่จะเพิ่มเป็น 31 จังหวัดได้แก่ ตราด สระแก้ว มุกดาหาร บึงกาฬ นครพนมและอุบลราชธานี บางจังหวัดอาจจะเป็นบางพื้นที่หรือบางจังหวัดอาจเพิ่มทั้งจังหวัด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับการปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ซึ่งตั้งแต่ที่เปิดแซนด์บ็อกซ์ เทสต์แอนด์โก โดยในวันที่ 1-30 พฤศจิกายนมีคนเดินทางเข้ามา 133,061 คนแต่มีคนติดเชื้อ 171 คนคิดเป็น 0.13% เมื่อมาบวกรวมกับเดือนธันวาคมที่มีคนเดินทางเข้ามาเพิ่มอีก 87,383 คน เพิ่มเป็น 152 คน เพิ่มเป็น 0.17% ซึ่งยังไม่ถึง 1% นี่เป็นสิ่งที่คณะกรรมการมั่นใจว่าเราจะต้องพัฒนารูปแบบเหล่านี้ ซึ่งประธานก็ได้รับฟังจากที่ประชุมทำให้เห็นภาพมาตรการที่ออกไปเป็นที่มั่นใจของผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะชาวต่างชาวชาติ จึงได้นำข้อมูลจากกรมควบคุมโรคว่าจะขอมติที่ประชุมพิจารณา 2 เรื่องใหญ่คือ 1.การปรับมาตรการเข้าราชอาณาจักร จากเดิมเรื่องการกักตัวยังคงเป็น 7 วันเหมือนเดิมรวมถึงมีการปรับการตรวจหาเชื้อสำหรับเทสต์แอนด์โก และพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวปรับจาก RT-PCR เป็น ATK ขอปรับเป็น RT-PCR ครั้งที่ 1 ตามเดิม และยังคงตรวจ ATK ด้วยตนเอง 2 ครั้ง และ 2.การปรับกลุ่มประเภทบุคคล ประเทศ เงื่อนไข และมาตรการเข้าราชอาณาจักร แบ่งเป็นการจัดกลุ่มประเภทบุคคลเป็น 6 กลุ่ม คือ จากเดิมที่มีแค่กลุ่มของการเทสต์แอนด์โก แซนด์บ็อกซ์ กักตัว ได้เพิ่ม กลุ่มผู้ขนส่งสินค้าทางบก เรือ กลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ และกลุ่มผู้มีเหตุยกเว้นหรือได้รับอนุญาตตามเงื่อนไขเฉพาะ การแบ่งกลุ่มประเทศออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศเทสต์แอนด์โก กลุ่มทุกประเทศ กลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำ และกลุ่มประเทศเสี่ยงสูง เงื่อนไขการเข้าราชอาณาจักร ต้องได้รับวัคซีน การตรวจหาเชื้อ ช่องทาง ระยะเวลาในการพำนัก/กักตัว และการกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับเงื่อนไขการเดินทางเทสต์แอนด์โกและพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว การกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
สำหรับการปรับมาตรการป้องกันโควิดในการจัดงานช่วงเทศกาลปีใหม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้มีเพียงพื้นที่สีส้มและสีเหลือง มีการอนุญาตให้บริโภคสุรา ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2565 สามารถเปิดบริการและบริโภคสุราได้ไม่เกิน 01.00 น. สำหรับพื้นที่ควบคุม สามารถบริโภคสุราในร้านอาหารได้เฉพาะวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2565 ไม่เกิน 01.00 น. และเฉพาะร้านที่เปิดโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวกเท่านั้น ทั้งนี้ ให้เคร่งครัดตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่สาธารณสุขกำหนด หรือโควิด ฟรี เซตติ้ง (COVID Free Setting) โดยหากจะเปิดต้องมีการควบคุมให้มีทางเข้าออกทางเดียว มีการตรวจการได้รับวัคซีน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการความปลอดภัยในการจัดงานช่วงเทศกาลปีใหม่กรณีที่มีผู้ร่วมงานตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป แบ่งเป็น 1.การยกระดับสำหรับผู้ประกอบการหรือ (Covid Free Personnel) แบ่งเป็น ผู้จัด พนักงาน นักร้อง นักดนตรี ต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ต้องมีการตรวจคัดกรองผู้จัด พนักงาน นักแสดง นักร้อง ทุกคนด้วย ทั้งนี้ต้องมีการตรวจ ATK ก่อนจัดงานภายใน 72 ชั่วโมง และตรวจคัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้างานด้วย TST หรือ App. อื่นๆ รวมถึงถือปฏิบัติตามมาตรการ UP-DMHTA 2.การยกระดับสำหรับผู้ใช้บริการหรือ (Covid Free Customer) แบ่งเป็นผู้เข้าร่วมงานต้องลงทะเบียน และแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ และมีผลตรวจ ATK เป็นลบก่อนเข้างานภายใน 72 ชั่วโมง อาจเป็นการตรวจล่วงหน้า หรือหน้างาน โดยผู้จัดงานสนับสนุนการตรวจ ATK หรือตรวจมาเอง ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่มากับผู้ปกครอง มีการคัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้างานด้วย TST หรือ App.อื่นๆ และถือปฏิบัติตามมาตรการ UP-DMHTA
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า 3.ยกระดับสำหรับสภาพแวดล้อม (Covid Free Environment) แบ่งเป็นควรจัดงานในพื้นที่ที่ควบคุมการเข้าออกได้ (พื้นที่ปิด) และในที่โล่งแจ้งเท่านั้น ต้องจัดการไม่ให้เกิดความแออัดในการจัดงาน โดยดำเนินการ ดังนี้ จัดให้มีการจองตั๋วล่วงหน้า หรือลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนถึงวันจัดงาน ก่อนหน้าช่องทางเข้า-ออกจากงาน จุดเดียว และมีระบบคิวให้สามารถควบคุมได้ และจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงาน 1 คนต่อ 4 ตร.ม. และติดป้ายแสดงจำนวนผู้ใช้บริการให้เห็นชัดเจน รวมถึงมีการกำหนดโซนของผู้เข้าร่วมงาน ระบุที่นั่ง อาจจัดเป็นกลุ่ม (ไม่เกิน 5 คน) หรือ 2 ที่เว้น 1 ที่ และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร และงดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความไร้ระเบียบ หรือสัมผัสใกล้ชิดกัน เช่นการจัดพื้นที่เต้นรำส่วนกลาง หรือทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งนี้ต้องเน้นการทำความสะอาดพื้นที่ พื้นผิว หรืออุปกรณ์ที่สัมผัสร่วมกัน ทุก 1-2 ชั่วโมง ส่วนกรณีที่มีการแสดงควรจัดระยะห่างระหว่างเวทีและผู้ชมอย่างน้อย 5 เมตร และเว้นระยะห่างของนักดนตรี นักแสดงบนเวทีอย่างน้อย 1 เมตร ซี่งผู้จัดงาน ทั้งนี้ต้องปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และต้องลงทะเบียนและทำการประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID 2Plus (TSC 2+) และควบคุมกำกับให้พนักงานประเมินตนเองผ่าน Thai Save Thai (TST) ทั้งนี้ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีการเตรียมการ ดำเนินการ และกำกับติดตามการจัดงานให้เป็นไปตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และใกล้ชิด รวมทั้งมีการประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนกรณีที่มีผู้เข้าร่วมงานต่ำกว่า 1,000 คนก็ต้องมีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มก่อนเข้าร่วมงาน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องของพื้นที่จัดงานในจังหวัดต่างๆ ที่จะมีการจัดงานมี 5 จังหวัดหลัก คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต อยุธยา ระยอง และนครราชสีมา รวมถึงอีก 44 จังหวัดที่จะจัดในระดับของภาค ซึ่งมีหลายจังหวัดที่ได้กำหนดการจัดงานมาตั้งแต่วันที่ 27-30 ธันวาคม เวลา 16.00-22.00 น. ส่วนวันที่ 31 ธันวาคม จะขยายเวลาออกเป็น 16.00-00.30 น. และในพื้นที่การจัดงาน ไม่ให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ อนุญาตให้ขายอาหารหรือสินค้าอื่นๆได้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมทางกระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมศาสนายังได้รายงานการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีว่า จะมีกิจกรรมในส่วนกลาง ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม ในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เวลา 22.30 น. จัดกิจกรรมสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่า ที่วัดอรุณราชวราราม จัดกิจกรรมสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่า เวลา 23.30 น. และจัดกิจกรรม ทำบุญตักบาตร รับปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม 2565 เวลา 07.00 น. รวมถึงมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า สำหรับผลการให้บริการวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภา 2564-12 ธันวาคม 2564 ฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 97.4 ล้านโดส เป็นเข็มที่หนึ่ง 49.9 ล้านราย คิดเป็น 69.3% เข็มที่สอง 43.3 ล้านราย คิดเป็น 60.2% เข็มที่สาม 4.1 ล้านราย คิดเป็น 5.5% โดยคาดว่าประเทศไทยจะมีผู้ได้รับวัคซีนครบ 100 ล้านโดส ในวันที่ 20 ธันวาคม 2564 อย่างไรก็ตามขณะนี้เรามีวัคซีน พร้อมฉีดให้คนที่จะมารับการกระตุ้นเข็มสาม เนื่องจากเชื้อโอมิครอนกระจายไปในหลายพื้นที่ของต่างประเทศ การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามนี้จะช่วยลดอัตราความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงต้องการให้คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มสองในช่วงเดือนสิงหาคมกับ กันยายน 2564 ให้มารับการฉีดเข็มที่สามหรือเข็มกระตุ้น ในเดือนธันวาคมนี้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายการฉีดวัคซีนในปี 2565 ประชาชนทุกคนต้องได้รับวัคซีนเพียงพอ ครอบคลุมอย่างน้อย 85% ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน สามารถรับการฉีดแบบวอล์คอินได้ กลุ่มเป้าหมายต่ำกว่า 12 ปี ได้รับวัคซีนตามความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนในปี 2565 มีการอนุมัติอีก 120 ล้านโดส โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. มอบหมายกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ไปจัดหาโดยเข็มที่4 ที่จะจัดหานั้นนายกรัฐมนตรี ให้วางแผนไว้เลย เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเข็มที่ 4 จะมีเทคโนโลยีใหม่ใหม่เข้ามาจึงขอให้ทางกรมควบคุมโรค ทำสัญญา เตรียมการลงนามในข้อกฎหมายก่อนสั่งซื้อ เพื่อให้ไทยเราได้วัคซีนที่ทันสมัย สามารถป้องกันเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ได้