สกู๊ปหน้า 1 : ไขปริศนา “โอมิครอน” ตั้งรับ “แพนเดมิก”

สกู๊ปหน้า 1 : ไขปริศนา “โอมิครอน” ตั้งรับ “แพนเดมิก”

การระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2565 อาวุธหลักในการรับมือยังคงเป็นวัคซีน ขณะนี้ไทยจัดหาและฉีดได้ทะลุเป้าหมาย 100 ล้านโดส แต่ไวรัสก็ยังพัฒนาตัวเองเป็นสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา อย่างล่าสุดรู้จักกันในชื่อ “โอมิครอน”

“ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ต้องย้อนกลับไปดูว่าโคโรนาไวรัส เข้ามาหามนุษย์เรา 3 ครั้งใหญ่ๆ พฤติกรรมต่างกันออกไปในทุกครั้ง เริ่มต้นจากซาร์ส (SARS) อัตราเสียชีวิต 10% ของจำนวนติดเชื้อ ตามด้วย เมอร์ส (MERS) มีความรุนแรงสูง อัตราเสียชีวิต 1 ใน 3 ของจำนวนติดเชื้อ และล่าสุดคือโควิด-19 จริงๆ เมื่อเทียบกับซาร์ส และเมอร์ส ถือว่าอัตราเสียชีวิตต่ำกว่ามาก แต่กระจายเร็วกว่า

ขณะที่ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน พบเดือน พ.ย.2564 เป็นไวรัสกลายพันธุ์กว่า 32 ตำแหน่ง เกี่ยวข้องกับโปรตีนหนามของเชื้อไวรัส แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็พบว่า แพร่กระจายได้เร็ว แต่ความรุนแรงลดลง ดังนั้น สูตรตัวตั้งกับตัวหาร หากแพร่กระจายเร็ว ตัวหารจะเพิ่มขึ้น เพราะคนติดเชื้อเยอะ ส่วนความรุนแรงเป็นตัวตั้ง หากจำนวนน้อย แต่ตัวหารเยอะ เราจะพบว่าอัตราความรุนแรงจะลดลงเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์

“นั่นเป็นสัญญาณสำคัญว่า กำลังเข้าสู่รูปแบบของการเป็นโรคประจำท้องถิ่นต่อไปเหมือนเชื้อหวัด จะอยู่กับเราไป แต่ไม่รุนแรง หากเป็นเช่นนี้ ถือว่าโชคดี โอมิครอนจะเข้าไปทดแทนสายพันธุ์รุนแรงกว่าได้ จะกลายเป็นว่าโลกโชคดี ไวรัสจัดการตัวเอง กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของไวรัสที่มนุษย์พบเจอในชีวิต เป็นโรคทั่วไปแต่ไม่ก่อเรื่อง” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

แต่ขณะเดียวกัน อาจต้องพูดต่ออีกนิดว่า เมื่อไวรัสโอมิครอนแพร่กระจายเยอะขึ้น ก็เสี่ยงว่าอาจเกิดกลายพันธุ์ในบางจุดอีกหรือไม่ อาจรุนแรงและแพร่กระจายมากขึ้น ดังนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นเมื่อเราพูดถึงไวรัส เพราะพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงตามจุดกลายพันธุ์ วางใจไม่ได้เด็ดขาด การสวมหน้ากากอนามัย ยังเป็นความสำคัญอย่างมาก

ADVERTISMENT

ต้องมองย้อนหลังไปที่บทเรียน “อู่ฮั่น” เป็นไวรัสใหม่ คนยังไม่ตื่นตกใจเท่าที่ควร กระทั่งพบว่ารุนแรง ผู้สูงอายุเสียชีวิตเยอะ แต่ไม่ทันแล้ว กระจายไปแล้ว ฉะนั้น เราจะคิดเชิงบวกว่าไม่เป็นอะไร เราฉีดวัคซีนมากพอแล้ว แต่อย่างน้อยหลักฐานตอนนี้เราพบว่า ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ยังรักษาไม่ให้เกิดความรุนแรงในระดับหนึ่ง แต่ถ้าติดเชื้อกันเยอะ สุดท้ายอาจต้องเข้านอนโรงพยาบาล (รพ.) เยอะ อาจเต็มศักยภาพรับมือ ก็จะกลับมาเป็นแบบเดิม เกิดความเสียหายได้มากขึ้น

“ขณะนี้ มีโอกาสเป็นไปได้หลายอย่าง ดีที่สุดคืออย่ามากเกินไป อย่าน้อยเกินไป อาจคิดเชิงบวกว่าปลอดภัยแน่นอน กลายเป็นไวรัสจัดการตัวเองแล้ว คิดแบบนี้ไม่ได้ เรามีตัวอย่างที่ดีจากหลายประเทศประกาศให้ถอดหน้ากากอนามัยได้แล้ว ทุกคนมีอิสระแล้ว แต่กลับพบว่าติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกในภายหลัง ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ก็ต้องกลับมากระชับให้เร็ว” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ คาดการณ์ถึงสถานการณ์โควิด-19 ภายหลังเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 ว่า หากตัวเลขติดเชื้อใหม่ไม่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ผ่านปีใหม่ไปด้วยตัวเลขไม่หวือหวาถึง 2-3 หมื่นรายใหม่ เชื่อว่า เราจะรู้จักโอมิครอนมากขึ้น จะเริ่มมองออกว่าโควิด-19 อีก 6 เดือนต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร คู่ขนานไปกับหลายบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเริ่มประกาศว่า ตั้งแต่มี.ค.2565 เป็นต้นไป วัคซีนรุ่น 2 น่าจะออกมาใช้ จะครอบคลุมสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนด้วย ถึงตอนนั้นเราจะมีเครื่องมือเสริม สร้างความมั่นใจได้มากขึ้น การทำธุรกิจต่างๆ ก็น่าจะเริ่มกลับมาได้ดีขึ้น แต่ทั้งหมดต้องย้ำว่า อยู่ในการมองต่อเนื่องว่า โอมิครอน ไม่รุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะหากกลับกันว่า เริ่มพบความลับซ่อนเร้นว่าจริงๆ มีความรุนแรงแอบแฝงอยู่ นั่นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยขณะที่ ปัจจุบันที่สถานการณ์ของไทย เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น แม้จะมีติดเชื้อโอมิครอน แต่จำนวนตัวเลขรายวันทยอยลดลงตามลำดับ

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวถึงมาตรการควบคุมโรคหากเกิดการระบาดซ้ำอีกว่า เราจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น หากพบว่าอัตราเสียชีวิตเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นในแต่ละประเทศ ไทยเองก็คงต้องไปดูว่า คนเสียชีวิตอยู่ในกลุ่มใด หากปรากฏในกลุ่มยังไม่ได้รับวัคซีน ก็ต้องเร่งฉีดให้มาก

แต่หากสมมุติว่าพบในผู้ได้รับวัคซีนครบแล้ว แต่ยังเสียชีวิต ต้องกลับมาคุยเรื่องเข็มกระตุ้นต่อไป เหตุการณ์น่ากลัวที่สุดคือ ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เจอในคนทั่วไปทั้งที่ฉีดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีน คราวนี้เราเดือดร้อนแน่ เพราะแสดงว่ามาตรการวัคซีนไม่ได้ผล ต้องเพิ่มมาตรการสังคม เช่น หยุดกิจกรรมบางอย่างเพื่อลดความเสี่ยง

“มาพูดถึงการฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น หลายคนเริ่มไม่อยากฉีดเพิ่มแล้ว แต่ต้องเรียนว่า วัคซีนโควิด-19 จะเหมือนไข้หวัดใหญ่ เรากำลังมองว่าไวรัสกลายพันธุ์อยู่เสมอ เราฉีดเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ตอนนี้เราพบว่าไวรัสต่างๆ รุนแรงเฉพาะคนบางกลุ่ม จะเป็นเป้าหมายของการฉีดวัคซีนต่อไป ดังนั้น หากโคโรนาไวรัสมีพฤติกรรมเหมือนไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หนุ่มสาวไม่มีอาการรุนแรง ส่วนอัตราเสียชีวิตอยู่ในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคร่วม คนเหล่านี้น่าจะเป็นเป้าหมายการฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องให้คนไทยทุกคนฉีดทุกปี แต่เราเน้นในกลุ่มเสี่ยง” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

ทว่า การระบาดของโคโรนาไวรัสใน 3 ครั้งใหญ่ๆ ที่ผ่านมา ศ.นพ.ประสิทธิ์ เชื่อว่า โลกเราจะเจอกับโคโรนาไวรัสอีกครั้ง แต่จะมาในรูปแบบไหนอย่างไร เราต้องตั้งรับให้ดี ไทยเราต้องเรียนรู้กับมัน ว่าจะจัดการอย่างไร ควบคุมให้อยู่ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจต้องทรุด ทั่วโลกเองก็กำลังเรียนรู้อยู่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมานับแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา โลกเจอการระบาดที่เรียกว่า แพนเดมิก (Pandemic) ถึง 5 ครั้ง

“นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้เราก็จะเจออีก 2-3 ปี เราอาจเจอการแพร่ระบาดของโรคอะไรบางอย่าง อาจไม่ใช่โคโรนาไวรัส อาจเป็นไวรัสอื่นก็เกิดได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าปัจจัยส่วนหนึ่งเกิดจากโลกมีการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โลกร้อนขึ้น (Global warming) รวมถึงมลภาวะพิษ (Pollution) ทำให้มีการเปลี่ยนของตัวนำเชื้อ ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าเดิม โลกต้องเรียนรู้ว่า เราไม่ควรผิดพลาด เจ็บตัวซ้ำ เราควรมีบทเรียนและเตรียมการไว้ ที่สำคัญคือ การระบาดเช่นนี้ ไม่มีประเทศใดปลอดภัย หากทั่วโลกยังร้อนอยู่ เป็นปัญหาของโลกทั้งใบต้องช่วยกัน ที่สำคัญคือความเหลื่อมล้ำ มีผลกระทบต่อทั้งโลก ดังนั้น ประเทศฐานะดี ซื้อวัคซีนมาฉีดให้ปลอดภัยในประเทศ แต่หากคนรอบตัวเราไม่ปลอดภัย เราก็ไม่ปลอดภัย” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 เป็นตัวเปลี่ยนโลก และทำให้เกิดสิ่งใหม่ เมื่อก่อนนี้ คนไทยเราแทบไม่เคยใช้การทำงานผ่านระบบออนไลน์ แต่ขณะนี้มีการเรียนรู้ปรับตัว เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) แม้กระทั่งการรักษาพยาบาล ป่วยทีก็ต้องไป รพ.ที ยาหมดก็ต้องเดินทางไป รพ.

“แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เรามีระบบรักษาทางไกล (Telemedicine) ไม่ต้องตื่นแต่เช้า เดินทางไปหาหมอ ดังนั้นเกิดข้อดีอีกอย่างคือ ลดการเกิดมลภาวะเป็นพิษน้อยลง บางคนทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) นั่นก็เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากโควิด-19 แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การปรับตัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้อาจกระทบกับคนบางกลุ่ม เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี เป็นโจทย์ระดับบริหารจะต้องดูแล พัฒนาสิ่งต่างๆ ให้คนไทยเข้าถึง ใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม รัฐบาลจะต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้นให้ได้ เป็นการเตรียมการสำหรับอนาคตด้วย” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

จนถึงขณะนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการรับมือกับวิกฤตสุขภาพ หรือโรคระบาด ถือเป็นความสำคัญของทุกคน เสมือนเป็นอาวุธสำคัญ นอกเหนือจากการมีวัคซีนที่ดีและเข้าถึงได้เร็ว ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวถึงการเตรียมรับมือวิกฤตในอนาคตว่า สิ่งหลักที่สำคัญคือ

1.การมีวิถีชีวิตส่งเสริมสุขภาพ เพราะหากเรามีสุขภาพแข็งแรง เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น เนื่องด้วยสังคมปัจจุบันทำให้เรามีแนวโน้มสุขภาพแย่ลง งานต้องแข่งกับเวลา ไม่มีเวลาพักผ่อน ดูแลสุขภาพตัวเอง ออกกำลังกายน้อย ขณะเดียวกัน การสังสรรค์กลับเพิ่มขึ้น ทำลายด้านสุขภาพ ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องเลิกทั้งหมด เพียงแต่เราบริหารเวลาเพื่อดูแลตัวเองสม่ำเสมอ

2.โรคติดต่อ จะไม่ติดต่อ หากเราไม่ติดต่อใกล้ชิดกัน หลักการคือทันทีที่มีสัญญาณโรคติดต่อเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไวรัสอย่างไร เราต้องยึดหลัก “ห่างกัน ป้องกันตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างและล้างมือ” แม้เป็นคัมภีร์ที่เกิดมากว่าร้อยปี แต่ตอนนี้ก็ยังขลังอยู่

3.การติดตามข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก เพื่อให้สังคมรับฟังผ่านระบบที่ทำให้ข้อมูลสื่อสารถูกต้อง ก่อให้เกิดความร่วมมือระดับประเทศ

และยังเน้นย้ำในมาตรการหลักคือ 1.มาตรการสังคม 2.มาตรการบุคคล และ 3.มาตรการบริหารจัดการของประเทศ

“ถึงเวลาต้องมองว่า การสวมหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องปกติ เราจะเห็นคนเดินไปมาด้วยหน้ากาก เราไม่ต้องมองว่าเขาแปลก หรือป่วย เช่น ปลายปี 2565 โควิด-19 เงียบสงบไปแล้ว แต่ยังมีคนสวมหน้ากากอนามัยอยู่ก็ไม่เป็นอะไร เพราะปีที่ผ่านมา เราพิสูจน์แล้วว่ามาตรการนี้ ช่วยให้โรคไข้หวัด หรือโรคระบบทางเดินหายใจลดลงชัดเจน ฉะนั้น เราป้องกันตัวเราจากสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องที่ดีที่สุด” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image